Acetylcysteine (อะเซทิลซิสเทอีน)

Acetylcysteine (อะเซทิลซิสเทอีน)

Acetylcysteine (อะเซทิลซิสเทอีน) คือยาละลายเสมหะ ช่วยสลายมูกเหนียวข้นให้ระบบทางเดินหายใจขับมูกเสมหะเหล่านั้นออกมาได้จากโรคที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ  เช่น หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง ปอดบวม ปอดอักเสบ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกขึ้น

นอกจากนี้ Acetylcysteine ยังนำมาใช้รักษาอาการจากการรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด และภาวะตับอักเสบจากสารพิษบางอย่าง เช่น เห็ดพิษ เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายที่ตับ Acetylcysteine มีหลายรูปแบบ ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อคลามปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา

Acetylcysteine

เกี่ยวกับ Acetylcysteine

กลุ่มยา ยาละลายเสมหะ และยาต้านพิษ (Antidotes)
ประเภทยา ยาที่หาซื้อได้เอง ยาตามใบสั่งแพทย์ 
สรรพคุณ ละลายเสมหะ ช่วยให้สลายมูกเหนียวข้นให้เบาบางลง และบรรเทาหรือป้องกันความเสียหายของตับจากยาพาราเซตามอลและสารพิษ
กลุ่มผู้ป่วย เด็ก ผู้ใหญ่
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ Category B จากการศึกษาในสัตว์ ไม่พบความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์หรืออาจพบผลไม่พึงประสงค์ในสัตว์ และยังไม่พบความเสี่ยงในมนุษย์เมื่อใช้ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ รวมทั้งไม่มีหลักฐานทางการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า มีความเสี่ยงเมื่อใช้ในช่วงหลังเดือนที่สามเป็นต้นไป ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เพื่อพิจารณาถึงประโยชน์และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา
การใช้ยาในผู้ให้นมบุตร ยังไม่มีผลการศึกษาที่ระบุชัดเจนว่าตัวยาสามารถดูดซึมผ่านน้ำนมแม่ และก่อให้เกิดเกิดผลกระทบต่อเด็กทารกหรือไม่ ผู้ที่กำลังให้นมบุตรควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา แพทย์อาจแนะนำให้เว้นระยะเวลาก่อนการให้นมบุตรเป็นเวลาประมาณ 30 ชั่วโมงหลังรับประทานยา
รูปแบบของยา ยารับประทานชนิดเม็ดฟู่ ชนิดผงละลายน้ำ ชนิดน้ำ ยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ยาสูดพ่น

คำเตือนในการใช้ยา Acetylcysteine

  • หากเคยมีอาการแพ้ยาชนิดนี้ หรือแพ้สารประกอบใด ๆ ที่เป็นส่วนผสมในยาชนิดนี้ ห้ามใช้ยา Acetylcysteine เด็ดขาด และควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
  • หากผู้ป่วยเคยมีอาการแพ้ยา แพ้อาหาร หรือแพ้สารชนิดใดอยู่ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา เพราะส่วนประกอบของยาอาจมีสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายเกิดอาการแพ้ได้
  • ผู้มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด มีแผลหรือเลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้ โรคไต หัวใจวาย และความดันโลหิตสูง

ปริมาณการใช้ยา Acetylcysteine

ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Acetylcysteine เพื่อรักษาอาการต่าง ๆ เช่น

1. ละลายเสมหะ

การใช้ยา Acetylcysteine ในการละลายเสมหะที่เหนียวข้นและสะสมปริมาณมาก ซึ่งเกิดจากโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ แบ่งออกเป็นยารับประทาน และยาสูดพ่น

ยารับประทาน

ผู้ใหญ่ และเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป รับประทานยา Acetylcysteine ชนิดเม็ดฟู่ ขนาดเม็ดละ 600 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง หรือรับประทานยาชนิดผงละลายน้ำ ครั้งละ 200 มิลลิกรัม วันละ 2–3 ครั้ง

เด็กอายุ 2–6 ปี รับประทานยาชนิดผงละลายน้ำ ครั้งละ 100 มิลลิกรัม วันละ 2–4 ครั้ง

ยาสูดพ่น

ผู้ใหญ่ ใช้ยา Acetylcysteine ความเข้มข้น 10% สูดพ่นครั้งละ 6–10 มิลลิลิตร วันละ 3–4 ครั้ง หรือยาที่มีความเข้มข้น 20% สูดพ่นครั้งละ 3–5 มิลลิลิตร วันละ 3–4 ครั้ง โดยใช้เครื่องพ่นละอองยา (Nebulizer) 

2. ภาวะพิษจากการรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด

การรักษาภาวะพิษจากการรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดในผู้ใหญ่และเด็ก จะให้ยา Acetylcysteine ชนิดรับประทานหรือยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำตามดุลพินิจของแพทย์

ยารับประทาน

เด็กและผู้ใหญ่ ควรให้ยา Acetylcysteine ทันทีหรือภายใน 24 ชั่วโมงหลังพบว่ารับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด 

โดยให้ยาน้ำความเข้มข้น 5% หรือยาเม็ดฟู่ เริ่มจากรับประทานยาที่ละลายกับน้ำขนาด 140 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 1 ครั้ง หลังจากผ่านไป 4 ชั่วโมง ให้รับประทานยาครั้งละ 70 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมทุก ๆ 4 ชั่วโมง จำนวน 17 ครั้ง หรือจนกว่าจะตรวจไม่พบระดับพิษในร่างกายจากการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด

ยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ

ผู้ใหญ่ และเด็กที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 41 กิโลกรัม ฉีดยาแบ่งเป็น 3 ครั้ง ภายใน 21 ชั่วโมง ดังนี้

  • ฉีดยาปริมาณ 150 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อสารน้ำ 200 มิลลิตร ในเวลา 1 ชั่วโมง
  • ตามด้วยยา 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อสารน้ำ 500 มิลลิตร ในเวลา 4 ชั่วโมง
  • ตามด้วยยา 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อสารน้ำ 1,000 มิลลิตร ในเวลา 16 ชั่วโมง 

เด็กที่มีน้ำหนักตัว 21–40 กิโลกรัม ฉีดยาแบ่งเป็น 3 ครั้ง ภายใน 21 ชั่วโมง ดังนี้

  • ฉีดยาปริมาณ 150 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อสารน้ำ 100 มิลลิตร ในเวลา 1 ชั่วโมง
  • ตามด้วยยา 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อสารน้ำ 250 มิลลิตร ในเวลา 4 ชั่วโมง
  • ตามด้วยยา 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อสารน้ำ 500 มิลลิตร ในเวลา 16 ชั่วโมง 

เด็กที่มีน้ำหนักตัว 5–20 กิโลกรัม ฉีดยาแบ่งเป็น 3 ครั้ง ภายใน 21 ชั่วโมง ดังนี้

  • ฉีดยาปริมาณ 150 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อสารน้ำ 3 มิลลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ในเวลา 1 ชั่วโมง
  • ตามด้วยยา 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อสารน้ำ 7 มิลลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ในเวลา 4 ชั่วโมง
  • ตามด้วยยา 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อสารน้ำ 14 มิลลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ในเวลา 16 ชั่วโมง 

การใช้ยา Acetylcysteine

การรับประทานยา Acetylcysteine ละลายเสมหะชนิดเม็ดฟู่ ให้ละลายเม็ดฟู่ในน้ำประมาณ ½ –1 แก้ว และควรรับประทานพร้อมอาหาร ส่วนยาชนิดผง ให้ฉีกซองยาแล้วละลายผงยาในน้ำประมาณ 1 แก้ว อาจใช้ช้อนคนให้ยาละลายดี ยาที่ผสมน้ำแล้วควรดื่มให้หมดภายใน 2 ชั่วโมง หากผสมยากับน้ำอัดลมไม่ผสมน้ำตาล ควรดื่มให้หมดภายใน 1 ชั่วโมง

หากอาเจียนภายใน 1 ชั่วโมงหลังรับประทานยา Acetylcysteine เพื่อบรรเทาป้องกันภาวะพิษจากการรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด แพทย์อาจให้รับประทานยาซ้ำ

หากผู้ป่วยลืมรับประทานยาในรอบเวลาหนึ่ง ให้รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้ถึงช่วงเวลาในการรับประทานยารอบถัดไป ให้ข้ามยารอบนี้แล้วรับประทานยาของรอบใหม่แทน โดยใช้ยาตามปริมาณปกติ ไม่เพิ่มปริมาณยา และไม่รับประทานยาเกินประมาณที่กำหนดในแต่ละครั้ง

ส่วนการเก็บรักษายาจะขึ้นอยู่กับชนิดของยา โดยทั่วไปควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 20–30 องศาเซลเซียส ไม่เก็บในที่ที่มีความร้อนและความชื้นสูง

นอกจากนี้ ในระหว่างที่ใช้ยา Acetylcysteine แพทย์อาจต้องตรวจอาการและผลข้างเคียงต่าง ๆ ทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด ผู้ป่วยควรให้ความร่วมมือกับแพทย์อยู่เสมอ หรือมาพบแพทย์ตามนัดหมาย

ปฏิกิริยาระหว่างยา Acetylcysteine กับยาอื่น 

การใช้ยา Acetylcysteine ร่วมกับยาบางชนิดอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาและเกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ได้ เช่น

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Acetylcysteine

การใช้ยา Acetylcysteine อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงมาก และอาการอาจดีขึ้นหลังจากร่างกายปรับสภาพกับยาที่ได้รับ เช่น

หากอาการดังกล่าวไม่ทุเลาลง ยังคงป่วยอย่างต่อเนื่องเรื้อรัง หรือมีอาการที่รุนแรงขึ้น ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอาการต่อไป แต่กรณีที่เกิดผลข้างเคียงรุนแรง เช่น อาเจียนไม่หยุด ไอหรืออาเจียนปนเลือด ปัสสาวะสีเข้ม เบื่ออาหาร อุจจาระเป็นสีเทา ตัวเหลือง ควรไปพบแพทย์

เช่นเดียวกับผู้ที่สังเกตว่ามีอาการแพ้ยา เช่น มีผื่นลมพิษขึ้นที่ผิวหนัง หน้า ลิ้น และลำคอบวม หายใจติดขัด แน่นหน้าอก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที