Costochondritis หรือภาวะกระดูกอ่อนซี่โครงอักเสบ เป็นอาการอักเสบของกระดูกอ่อนในบริเวณที่เชื่อมระหว่างกระดูกซี่โครงและกระดูกส่วนอก (Sternum) ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บเมื่อถูกสัมผัสหรือรู้สึกเจ็บเมื่อกระดูกอ่อนช่วงอกถูกยกขึ้น เช่น เมื่อไอหรือสูดหายใจเข้าลึก แต่เมื่ออาการรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บแปลบลามไปยังแขนหรือเจ็บหน้าอกมากจนเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
Costochondritis ยังรู้จักในชื่อ Costosternal Syndrome หรือ Costosternal Chondrodynia โดยทั่วไป อาการมักจะดีขึ้นเองภายใน 2-3 สัปดาห์ แต่บางกรณีอาจต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ การรักษาส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การบรรเทาอาการเจ็บปวดของผู้ป่วย โดยพิจารณาจากอาการและความรุนแรงของโรค
อาการของ Costochondritis
Costochondritis อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บแปลบหรือรู้สึกเจ็บเหมือนถูกกดทับบริเวณกระดูกอก หากอาการรุนแรงอาจเจ็บลามไปยังหลังหรือท้องได้ ส่วนใหญ่จะเกิดฝั่งซ้ายของร่างกาย ในบางกรณีอาการเจ็บปวดอาจเกิดขึ้นบริเวณซี่โครงมากกว่าหนึ่งตำแหน่ง มักเกิดบริเวณกระดูกซี่โครงซี่ที่ 4-6 และจะรู้สึกเจ็บปวดยิ่งขึ้นเมื่อสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หรือไอ แต่อาการจะดีขึ้นเมื่ออยู่นิ่งและหายใจเบา ๆ ทั้งนี้ อาการเจ็บหรือปวดจาก Costochondritis มักเกิดขึ้นหลังการออกกำลังกาย การได้รับบาดเจ็บที่ได้รับแรงกระทบไม่มาก หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน
อย่างไรก็ตาม อาการเจ็บหน้าอกอาจเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่นที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ อย่างภาวะหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ โดยเฉพาะหากมีอาการเจ็บหน้าอกและอาการผิดปกติต่อไปนี้
- หายใจลำบาก
- มีไข้สูง และไข้ไม่ลดลงหลังจากรับประทานยาลดไข้ อย่างยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen)
- มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีอาการบวมแดงหรือมีหนอง
- มีอาการเจ็บหน้าอกต่อเนื่องและอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ เหงื่อออก ปวดบริเวณแขนซ้าย หรือมีอาการเจ็บส่วนใดส่วนหนึ่งของหน้าอก เป็นต้น
สาเหตุของ Costochondritis
ในปัจจุบันยังไม่ทราบถึงสาเหตุของ Costochondritis อย่างแน่ชัด แต่คาดว่าอาจเกิดได้จากปัจจัยต่อไปนี้
- การได้รับบาดเจ็บที่บริเวณหน้าอก เช่น เกิดจากอุบัติเหตุรถชนหรือตกจากที่สูง
- การทำกิจกรรมใช้แรงมากเกินไป เช่น ยกของหนัก ออกกำลังกายอย่างหักโหม หรือไออย่างรุนแรง
- ผลจากโรคข้ออักเสบ เช่น โรคข้อเสื่อม โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้ออักเสบไรเตอร์ (Reiter’s Syndrome) หรือโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด เป็นต้น
- การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา อย่างวัณโรค ซิฟิลิส และแอสเปอร์จิลลัส (Aspergillus) ในบริเวณข้อต่ออาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ข้อต่อซี่โครงได้
- เนื้องอกบริเวณข้อต่อระหว่างซี่โครงและกระดูกอก (Costosternal Joint) ทั้งเนื้องอกธรรมดาและเนื้องอกที่เป็นเนื้อร้าย สามารถทำให้เกิด Costochondritis ได้เช่นกัน โดยเซลล์มะเร็งอาจลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกาย เช่น อก ต่อมไทรอยด์ หรือปอด
Costochondritis มักพบได้บ่อยในเพศหญิงและผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี รวมถึงผู้ที่ใช้แรงในการทำงานหรือทำกิจกรรมอย่างหนัก ผู้ที่มีอาการแพ้หรือไวต่อการกระตุ้น รวมถึงผู้ที่มีอาการของโรคข้ออักเสบ อย่างโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด (Ankylosing Spondylitis) หรือภาวะข้ออักเสบไรเตอร์ (Reiter Syndrome)
การวินิจฉัย Costochondritis
แพทย์จะสอบถามอาการผิดปกติ ซักประวัติการรักษาและประวัติครอบครัวของผู้ป่วย จากนั้นจะตรวจร่างกายเบื้องต้นเพื่อวินิจฉัยอาการเจ็บปวดบริเวณกระดูกซี่โครง และอาจตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุการอักเสบหรือติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ แพทย์อาจตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อตัดสาเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องออก เนื่องจากอาการเจ็บปวดของ Costochondritis อาจคล้ายคลึงกับอาการเจ็บปวดที่เกิดจากโรคหัวใจ โรคปอด ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร และโรคข้อเสื่อม ดังนี้
- การเอกซเรย์ในกรณีที่ผู้ป่วยอาจมีอาการปอดบวม
- การตรวจเลือดเพื่อวัดปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวที่อาจเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram : ECG/EKG) หรือการเอกซเรย์ทรวงอก เพื่อให้ทราบว่าผู้ป่วยไม่ได้มีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจหรือภาวะเกี่ยวกับหัวใจอื่น ๆ
การรักษา Costochondritis
โดยทั่วไป Costochondritis มักจะหายไปได้เอง อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือนานกว่านั้น แต่ในกรณีที่รับการรักษาจากแพทย์ ส่วนใหญ่จะมุ้งเน้นเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดของผู้ป่วย ซึ่งวิธีการรักษาอาจแตกต่างกันไปตามอาการและความรุนแรงของโรค
การดูแลตนเองที่บ้าน
ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองที่บ้านเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดในเบื้องต้น เช่น
- รับประทานยาแก้ปวดที่สามารถหาซื้อได้เองตามคำแนะนำของเภสัชกร ได้แก่ยากลุ่ม NSAIDs อย่างยาไอบูโพรเฟนหรือยานาพรอกเซน
- ประคบเย็นหรือประคบร้อนในบริเวณที่มีอาการวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวด
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก เนื่องจากอาจทำให้อาการแย่ลงได้ เช่น ยกของหนัก วิ่งหรือกระโดด
- ออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้ออาจช่วยบรรเทาอาการได้ โดยค่อย ๆ ออกแรงบริเวณช่วงอก
การใช้ยา
หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงขึ้น แพทย์อาจสั่งจ่ายยาต่อไปนี้
- ยาแก้ปวดชนิดอื่น อย่างยาโคเดอีน (Codeine) เพื่อระงับความเจ็บปวด
- ยาต้านเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก (Tricyclic Antidepressants) สำหรับผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดเรื้อรังหรืออาการเจ็บปวดรบกวนขณะนอนหลับ
- ยากันชัก อย่างยากาบาเพนติน (Gabapentin) สามารถช่วยรักษาอาการเจ็บปวดเรื้อรังได้
- การให้ยาชาเฉพาะที่และการฉีดยาสเตียรอยด์บริเวณที่มีอาการ โดยจะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาหรือยาชนิดอื่น
การทำกายภาพบำบัด
นอกจากการออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อที่ผู้ป่วยสามารถทำได้เองแล้ว แพทย์อาจใช้วิธีกระตุ้นเส้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังเพื่อลดอาการปวด (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation : TENS)
การผ่าตัด
หากรักษาด้วยวิธีการอื่นแล้วอาการของผู้ป่วยยังไม่ดีขึ้นหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีในข้างต้น แพทย์อาจให้ผู้ป่วยปรึกษาศัลยแพทย์เพื่อพิจารณาถึงความจำเป็นและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัด
ภาวะแทรกซ้อนของ Costochondritis
โดยทั่วไป การรักษามักทำให้อาการเจ็บปวดและอักเสบจาก Costochondritis ค่อย ๆ หายไปเอง แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจกระทบต่อสุขภาพโดยรวมได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะ Costochondritis เรื้อรังอาจกลับมาเกิดอาการเจ็บปวดขึ้นซ้ำได้อีกเมื่อออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก แม้จะทำการรักษาแล้ว จึงควรปรึกษาแพทย์ในการรักษาในระยะยาวเพื่อไม่ให้กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ อาการเจ็บหน้าอกที่เกิดขึ้นยังคล้ายคลึงกับอาการเจ็บปวดที่เกิดจากโรคอื่น อย่างภาวะหัวใจขาดเลือด โรคปอดบวม หรือโรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) จึงควรรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างแน่ชัด
การป้องกัน Costochondritis
แม้จะยังไม่มีวิธีป้องกัน Costochondritis อย่างสิ้นเชิง แต่การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันด้วยความระมัดระวังอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ เช่น หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือการใช้แรงในการทำกิจกรรมที่มากเกินไป และหากรู้สึกเจ็บหน้าอกขณะทำกิจกรรมหรือออกกำลังกาย ควรหยุดทำกิจกรรมนั้น ๆ และรีบไปพบแพทย์ทันที