Ketorolac (คีโตโรแลค)
Ketorolac (คีโตโรแลค) เป็นยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) นำมาใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดหรือลดการอักเสบ ที่มีความรุนแรงปานกลางไปจนถึงรุนแรงมาก และมักจะใช้ก่อนหรือหลังขั้นตอนการแพทย์หรือการผ่าตัด แต่ไม่ได้นำมาใช้รักษาสาเหตุของโรคยานี้ รวมทั้งไม่นำมาใช้รักษาโรคเรื้อรังหรือโรคที่มีอาการระยะยาว เช่น ข้ออักเสบ เป็นต้น
กลไกการออกฤทธิ์ของยาคือทำหน้าที่ยับยั้งการสร้างสารก่อการอักเสบในร่างกาย ซึ่งจะช่วยลดอาการบวม อาการเจ็บปวดและลดไข้ อย่างไรก็ตาม ยา Ketorolac มีข้อห้ามใช้และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร
เกี่ยวกับยา Ketorolac
กลุ่มยา | ยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | ลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวด |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน ยาหยอดตา ยาประเภทฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดหรือกล้ามเนื้อ |
คำเตือนของการใช้ยา Ketorolac
- ควรหลีกเลี่ยงใช้ยานี้ หากเคยมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยา Ketorolac รวมไปถึงยาอื่น ๆ เช่น ยาแอสไพริน หรือยาในกลุ่มเอ็นเสด
- ควรหลีกเลี่ยงใช้ยานี้ หากกำลังใช้ยาเพนท็อกซิฟิลลีน (Pentoxifylline) ยาโพรเบเนซิด (Probenecid) ยาแอสไพริน (Aspirin) หรือยาในกลุ่มเอ็นเสด
- ควรหลีกเลี่ยงใช้ยานี้ หากเป็นผู้ที่มีอายุครรภ์ 7-9 เดือน ผู้ที่กำลังให้นมบุตร หรือกำลังเจ็บท้องคลอด
- ควรหลีกเลี่ยงใช้ยานี้ หากมีประวัติการทำบายพาสหัวใจ (CABG) ผู้ที่มีแผลในการเพาะอาหาร หรือมีประวัติเป็นแผลหรือปัญหาเกี่ยวกับช่องท้องชนิดรุนแรง เช่น เลือดออก หรือกระเพาะทะลุ
- ควรหลีกเลี่ยงใช้ยานี้ หากมีปัญหาเกี่ยวกับไตที่รุนแรง หรือมีความเสี่ยงเป็นไตวาย เช่น มีภาวะขาดน้ำ เป็นต้น
- ควรหลีกเลี่ยงใช้ยานี้ หากมีประวัติเลือดออกในสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือหลอดเลือดโป่งพอง รวมไปถึงมีปัญหาเกี่ยวกับเลือดออก เช่น โรคเกล็ดเลือด หรือโรคฮีโมฟิเลีย รวมไปถึงผู้ที่มีความเสี่ยงเลือดออกง่าย
- ผู้ที่ต้องการป้องกันอาการปวดก่อนการผ่าตัดใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงเลี่ยงใช้ยานี้
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาที่กำลังใช้ ทั้งที่สั่งจ่ายโดยแพทย์หรือยาที่ซื้อใช้เอง สมุนไพร หรืออาหารเสริม
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากมีประวัติแพ้ยา อาหาร หรือสารใด ๆ
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากมีประวัติมีปัญหาเกี่ยวกับตับหรือไต เป็นโรคเบาหวาน หรือปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะและลำไส้ เช่น เลือดออก กระเพาะเป็นแผลหรือกระเพาะทะลุ หรือโรคโครห์น
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากมีประวัติเคยเกิดอาการบวม หรือการสะสมของของเหลว เช่น โรคหืด ริดสีดวงจมูก หรือมีการอักเสบในปาก
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากเป็นผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเลือด เลือดออกง่ายหรือปัญหาการแข็งตัวของเลือด ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือโรคหลอดเลือด รวมไปถึงผู้ที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคเหล่านี้
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากเป็นผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ มีภาวะขาดน้ำ สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีประวัติติดเหล้า
- ควรใช้ยานี้อย่างระมัดระวังในผู้สูงอายุ เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงได้ง่าย โดยเฉพาะมีเลือดออกในกระเพาะอาหารและปัญหาเกี่ยวกับไต
- ไม่ควรใช้ยานี้ในเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี เนื่องจากยังไม่ได้รับการรับรองถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา
-
ตัวอย่างยาที่อาจทำปฏิกิริยาเมื่อใช้ร่วมกับยา Metoprolol ซึ่งผู้ที่ใช้ยาต่อไปนี้ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
- ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาโคลพิโดเกรล (Clopidogrel) ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ยาเฮพาริน (Heparin)
- ยาโพรเบเนซิด (Probenecid)
- ยาไซโคลสปอริน (Cyclosporin) ยาลิเทียม (Lithium) ยาเมทฟอร์มิน (Metformin) ยาเมโธเทรกเซท (Methotrexate) ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ยากลุ่มควิโนโลน (Quinolone) เช่น ยาไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin)
- ยาลดความดันโลหิตกลุ่ม ACE inhibitors เช่น ยาอีนาลาพริล (Enalapril) หรือยาขับปัสสาวะ เช่น ยาฟูโรซีไมด์ (Furosemide) ยาไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ (Hydrochlorothiazide)
ปริมาณการใช้ยา Ketorolac
อาการคันตาที่เกี่ยวข้องกับเยื่อตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Ocular Itching Associated with Seasonal Allergic Conjunctivitis)
ผู้ใหญ่: ยาหยอดตา ยาน้ำสารละลาย 0.5% ใช้ 1 หยด วันละ 4 ครั้ง
ป้องกันและลดการอักเสบของตาหลังการผ่าตัด (Prophylaxis and Reduction of Postoperative Ccular Inflammation)
ผู้ใหญ่: ยาหยอดตา ยาน้ำสารละลาย 0.5% ใช้ 1 หยด วันละ 4 ครั้ง เริ่มใช้ 24 ชั่วโมง หลังการผ่าตัดต้อกระจก และใช้ต่อเนื่องในช่วง 2 สัปดาห์แรก
อาการปวดที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัด (Postoperative Pain)
ผู้ใหญ่: มีอาการปวดปานกลางไปจนถึงรุนแรง ใช้ยาชนิดรับประทาน ขนาด 20 มิลลิกรัม และตามด้วยขนาด 10 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง โดยเป็นการใช้ยาอย่างต่อเนื่องหลังจากการใช้ประเภทยาฉีด
รับประทานขนาดสูงสุด 40 มิลลิกรัมต่อวัน และใช้เป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่เกิน 5 วัน (รวมทั้งยาประเภทฉีดและยาประเภทรับประทาน)
ผู้สูงอายุ: ยาประเภทรับประทาน ขนาด 10 มิลลิกรัม ตามด้วย 10 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง โดยเป็นการใช้ยาอย่างต่อเนื่องหลังจากการใช้ประเภทยาฉีด และรับประทานขนาดสูงสุด 40 มิลลิกรัม ต่อวัน
รักษาอาการปวดหลังจากการผ่าตัด (Postoperative Pain)
ผู้ใหญ่: มีอาการปวดปานกลางไปจนถึงรุนแรง ให้ทางหลอดเลือดหรือให้ทางกล้ามเนื้อ ขนาดเริ่มต้น 10 มิลลิกรัม ตามด้วย 10-30 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง (ช่วงระยะเริ่มต้นหลังจากผ่าตัด สูงสุดทุก 2 ชั่วโมง) ปริมาณสูงสุด 90 มิลลิกรัม ต่อวัน และใช้ไม่เกิน 2 วัน
ผู้สูงอายุ: ขนาดสูงสุดไม่เกิน 60 มิลลิกรัม ต่อวัน
*ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
การใช้ยา Ketorolac
ควรใช้ยาตามฉลากหรือตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้ยานี้ในปริมาณที่มากกว่าหรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสชักร
- ควรรับประทานยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหาร และควรรับประทานยาเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อประสิทธิภาพของยา
- ปริมาณการใช้ยาขึ้นอยู่กับสุขภาพและการตอบสนองต่อการรักษาของผู้ป่วย และเพื่อลดความเสี่ยงเลือดออกในกระเพาะอาหารและผลข้างเคียงอื่น ๆ ควรใช้ยานี้ในปริมาณน้อยที่สุดและเป็นระยะเวลาน้อยที่สุดที่เกิดประสิทธิภาพในการรักษา
- ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา ใช้ยาบ่อยหรือใช้เป็นระยะเวลานานกว่า 5 วัน แต่หากผู้ป่วยยังมีอาการเจ็บปวดหลังจากวันที่ 5 ควรปรึกษาแพทย์ถึงยาชนิดอื่นที่อาจใช้ได้
- ในช่วงระยะเวลา 24 ชั่วโมง ไม่ควรใช้ยานี้มากกว่า 40 มิลลิกรัม
- ยานี้จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อใช้ทันทีที่มีอาการเกิดขึ้น หากผู้ใช้รอจนกระทั่งอาการเจ็บปวดมากขึ้นแล้ว ยาอาจไม่ให้ผลตามที่ควร
- ในกรณีที่ใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการแย่ลง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
- ไม่ควรใช้ยานี้ หากพบว่ามีสิ่งแปลกปลอม มีสีที่เปลี่ยนแปลงไป หรือแตกหัก
- ในระหว่างที่ใช้ยานี้ ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการทดสอบทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ตรวจสอบการทำงานของไตหรือตับ ตรวจเลือด ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด และวัดความดันโลหิต
- ในกรณีที่ลืมรับประทานยาตามเวลาที่กำหนด ให้รับประทานยาได้ทันที แต่หากใกล้ถึงเวลารับประทานยาในรอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยาในรอบถัดไป ไม่ควรเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่าและหากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบพบแพทย์
- เก็บยาและอุปกรณ์ที่ใช้กับยา เช่น ไซริงค์และเข็มฉีดยา ให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง และไม่ควรนำไซริงค์และเข็มฉีดยาที่ใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำ
- ควรเก็บยาไว้ที่อุณหภูมิไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส เก็บให้พ้นจากแสงแดดและความชื้น หากยาหมดอายุให้ทิ้งทันที
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Ketorolac
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้อย่างต่อเนื่องหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรไปพบแพทย์
- อาการแพ้ยา เช่น ผื่นคัน ลมพิษ คัน หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ปากบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม ใบหน้าบวม เสียงแหบ
- น้ำหนักตัวลด
- เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
- ท้องผูก ท้องเสีย
- มีแก๊สในกระเพาะ
- อาหารไม่ย่อย ปวดท้องไม่รุนแรงหรือท้องปั่นป่วน
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีอาการเจ็บบริเวณที่ฉีดยา
- แน่นท้อง และเหงื่อออก
ผลข้างเคียงที่พบน้อย ได้แก่
- ปัสสาวะปนเลือด หรือปัสสาวะขุ่น มีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณปัสสาวะ หรือมีปัญหาในการปัสสาวะ
- อุจจาระปนเลือด หรือเป็นสีดำ
- มีไข้ หนาวสั่น หรือเจ็บคออย่างต่อเนื่อง แผลในปาก
- หน้ามืด หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ
- เห็นภาพหลอนหรือได้ยินเสียงผิดปกติ สับสน อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า
- มีแผลในปาก ชาที่แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่ง
- มีเสียงดังในหู
- อาการชัก ปวดศีรษะหรือเวียนศีรษะรุนแรง ปวดท้องหรือคลื่นไส้รุนแรง
- ท้องเสียหรือคลื่นไส้รุนแรง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหรือไม่ทราบสาเหตุ
- อาเจียนเป็นเลือด หรือมีเสมหะคล้ายกากกาแฟ
- หายใจตื้น
- มือ แขน ขา หรือเท้าบวม
- มีรอยช้ำหรือมีเลือดออกผิดปกติ
- เจ็บกล้ามเนื้อหรือข้อต่ออย่างผิดปกติ
- ตามัวหรือการมองเห็นเปลี่ยนไป
- ตัวเหลืองหรือตาเหลือง
นอกจากนั้น อาจมีอาการข้างเคียงอื่น ๆ นอกเหนือจากอาการข้างต้นที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งหากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติใด ๆ ควรรีบแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทันที