Nystatin (ไนสแตติน)

Nystatin (ไนสแตติน)

Nystatin (ไนสแตติน) เป็นยาต้านเชื้อราที่มีกลไกการออกฤทธิ์โดยช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ใช้รักษาการติดเชื้อราตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น เชื้อราในช่องปาก ช่องคลอด ลำไส้ ผิวหนัง และเยื่อเมือก นอกจากนี้ ยังอาจใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์

Nystatin

ยา Nystatin มีข้อห้ามใช้และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเสมอ

เกี่ยวกับยา Nystatin

กลุ่มยา ยาต้านเชื้อรา
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์ 
สรรพคุณ รักษาการติดเชื้อราในช่องปาก ช่องคลอด ลำไส้ ผิวหนัง และเยื่อเมือก
กลุ่มผู้ป่วย ผู้ใหญ่ เด็ก
รูปแบบของยา ยาใช้เฉพาะที่ ยาอม ยารับประทาน

คำเตือนในการใช้ยา Nystatin

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ หากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ และแพ้ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ
  • ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยา Nystatin หากผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยานี้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ ทั้งยาที่แพทย์สั่ง ยาที่ซื้อใช้ด้วยตนเอง วิตามิน และสมุนไพร เพราะมียาหลายชนิดที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์หรือโรคประจำตัว ก่อนทำการรักษาด้วยยานี้
  • ห้ามให้เด็กใช้ยานี้โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์ วางแผนมีบุตร หรือกำลังให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีและข้อเสียของยาก่อนใช้ยานี้

ปริมาณการใช้ยา Nystatin

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้

เชื้อราในช่องปาก
ผู้ใหญ่ ใช้ยาอมหรือยาชนิดสารละลายปริมาณ 100,000 ยูนิต วันละ 4 ครั้ง โดยให้ยาสัมผัสกับบริเวณที่ติดเชื้อนานที่สุด และควรใช้ยาต่ออีก 48 ชั่วโมง เมื่อหายดีแล้ว เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ
เด็ก ใช้ยาชนิดสารละลายปริมาณเท่ากันกับผู้ใหญ่ สำหรับการป้องกันการติดเชื้อในทารก กรณีที่มารดาเป็นเชื้อราที่ช่องคลอด ให้ใช้ยาปริมาณ 100,000 ยูนิต วันละ 1 ครั้ง

เชื้อราที่ผิวหนังหรือเยื่อเมือก
ผู้ใหญ่ ใช้ยาชนิดขี้ผึ้ง เจล ครีม หรือผง ปริมาณ 100,000 ยูนิต/กรัม วันละ 2-4 ครั้ง
เด็ก ใช้ยาในปริมาณเท่ากันกับผู้ใหญ่

เชื้อราที่ลำไส้
ผู้ใหญ่ รับประทานยาชนิดเม็ด แคปซูล หรือสารละลายปริมาณ 500,000 หรือ 1,000,000 ยูนิต วันละ 3-4 ครั้ง สำหรับการป้องกันโรค ให้ใช้ยาปริมาณ 1,000,000 ยูนิต วันละ 1 ครั้ง
เด็ก รับประทานยาชนิดสารละลาย 100,000 ยูนิต วันละ 4 ครั้ง

ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา
ผู้ใหญ่ ใช้ยาเหน็บช่องคลอดหรือยาครีมปริมาณ 100,000-200,000 ยูนิต/วัน ก่อนนอน เป็นระยะเวลา 14 วัน หรือนานกว่านั้น

การใช้ยา Nystatin

  • ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
  • ก่อนรับประทานยาชนิดสารละลาย ให้เขย่าขวดก่อนทุกครั้ง และควรวัดปริมาณยาด้วยช้อนหรือถ้วยตวงสำหรับยาโดยเฉพาะ
  • การใช้ยา Nystatin ชนิดสารละลายเพื่อรักษาการติดเชื้อภายในปาก ผู้ป่วยอาจต้องอมยาไว้ให้นานที่สุด เพื่อให้ยาสัมผัสกับบริเวณที่ติดเชื้อ
  • ใช้ยาให้ครบจำนวนตามที่แพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะการหยุดใช้ยาด้วยตนเองอาจทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อนได้
  • แพทย์มักให้ใช้ยา Nystatin ต่อไปอีก 48 ชั่วโมง แม้จะมีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันว่าผู้ป่วยหายดีแล้วก็ตาม
  • ห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้ และห้ามใช้ยาของผู้อื่น
  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
  • หากสงสัยว่าตนใช้ยาเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
  • หากลืมใช้ยาตามเวลาที่กำหนด ให้ใช้ทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้ถึงเวลาใช้ยาในรอบถัดไป ให้ข้ามไปใช้ยาในรอบต่อไป และห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
  • ยาแต่ละชนิดมีวิธีการเก็บยาที่แตกต่างกัน ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำการเก็บยาบนฉลากอย่างเคร่งครัด
  • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถึงวิธีเก็บยาและวิธีกำจัดยาที่ไม่ได้ใช้แล้วอย่างเหมาะสม

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Nystatin

การใช้ยา Nystatin อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่ ระคายเคืองในปาก ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย มีผื่นขึ้น เป็นต้น หากอาการดังกล่าวไม่หายไปหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์

หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา Nystatin  ดังต่อไปนี้ ควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที

  • ปฏิกิริยาทางผิวหนังชนิดรุนแรง อาจทำให้มีอาการผิดปกติบางอย่าง ได้แก่ มีไข้ เจ็บคอ หน้าบวม ลิ้นบวม แสบตา เจ็บผิว มีผื่นสีแดงหรือสีม่วงกระจายตามร่างกาย ทำให้เกิดแผลพุพองและผิวลอก หรือเกิดกลุ่มอาการสตีเวนส์–จอห์นสัน ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ผิวหนังและเยื่อบุผิวทั่วร่างกาย
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • มีปัญหาในการหายใจ หลอดลมหดเกร็ง
  • ลมพิษ
  • ปวดกล้ามเนื้อ

นอกจากนี้ หากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติใด ๆ เพิ่มเติม ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยเช่นกัน