Vitamin B complex (วิตามินบีรวม)

Vitamin B complex (วิตามินบีรวม)

วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex) เป็นกลุ่มของวิตามินบีที่ใช้รักษาและป้องกันการขาดวิตามินบีชนิดต่าง ๆ เนื่องมาจากทุพภาวะโภชนาการ โรคบางชนิด การติดสุรา หรืออยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งวิตามินบีจะช่วยเสริมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายแตกต่างกันออกไปตามคุณสมบัติของวิตามินบีแต่ละชนิด

โดยส่วนประกอบของวิตามินบีรวมในแต่ละสูตรอาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเภทของยา บางตัวยาอาจมีวิตามินบีเป็นส่วนประกอบเพียง 4 ชนิด แต่บางตัวยาอาจมีวิตามินบีเป็นส่วนประกอบมากถึง 8 ชนิด ตัวอย่างของวิตามินบี เช่น

  • ไทอะมีน (Thiamine) หรือวิตามินบี 1 (Vitamin B1)  
  • ไรโบฟลาวิน (Riboflavin) หรือวิตามินบี 2 (Vitamin B2)
  • ไนอะซิน/นิโคตินาไมด์ (Niacin/Nicotinamide) หรือวิตามินบี 3 (Vitamin B3)
  • กรดแพนโทเทนิก (Pantothenic Acid) หรือวิตามินบี 5 (Vitamin B5)
  • ไพริดอกซีน (Pyridoxine) หรือวิตามินบี 6 (Vitamin B6)
  • ไบโอติน (Biotin) หรือวิตามินบี 7 (Vitamin B7)
  • กรดโฟลิก (Folic Acid) หรือวิตามินบี 9 (Vitamin B9)
  • โคบาลามิน (Cobalamin) หรือวิตามินบี 12 (Vitamin B12)

เกี่ยวกับวิตามินบีรวม

กลุ่มยา วิตามิน
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่สามารถหาซื้อได้เอง
สรรพคุณ ป้องกันการขาดและรักษาระดับวิตามินบีในร่างกาย
กลุ่มผู้ป่วย เด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ ยังไม่มีการจัดหมวดหมู่ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดนี้จากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ FDA ซึ่งอาหารเสริมนี้อาจส่งผลกระทบต่อมารดาหรือทารกในครรภ์ได้ หากผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อตนเองและทารกมากที่สุด
การใช้ยาในผู้ให้นมบุตร อาหารเสริมนี้อาจส่งผลกระทบต่อมารดาหรือทารกแรกคลอดได้ ดังนั้น ผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
รูปแบบของยา ยารับประทาน ยาฉีด

คำเตือนของการใช้วิตามินบีรวม

เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้วิตามินบีรวม ผู้ใช้วิตามินบีรวมควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

  • ควรแจ้งประวัติการแพ้ยาและอาการแพ้อื่น ๆ แก่แพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ เพราะส่วนผสมบางตัวในวิตามินอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการแพ้
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ โรคตับ โรคโลหิตจางอย่างร้ายแรงจากการขาดวิตามินบี 12 (Pernicious Anemia) โรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria: PKU) หรือมีสภาวะอื่นที่ห้ามรับประทานแอสปาร์แตม (Aspartame) ซึ่งเป็นวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ทุกครั้ง
  • เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ไม่ควรใช้วิตามินชนิดนี้
  • หญิงมีครรภ์ กำลังวางแผนจะมีบุตร หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้า
  • การใช้วิตามินบีรวมอาจทำให้เกิดผลบวกลวง (False Positive) ในการตรวจทางห้องปฏิบัติการบางประเภท จึงควรแจ้งแพทย์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องก่อนการตรวจทุกครั้ง

ปริมาณการใช้วิตามินบีรวม

วิตามินบีรวมมีอยู่หลายสูตรและมีสัดส่วนของวิตามินบีแตกต่างกันออกไป บางสูตรอาจมีการผสมส่วนประกอบหรือวิตามินชนิดอื่นเสริมลงไป เช่น วิตามินซี วิตามินอี ซิงค์ โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้รับประทานครั้งละ 1–2 เม็ด วันละ 1–3 ครั้ง สำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ 

ส่วนการฉีดหรือวิตามินบีรวมในรูปแบบอื่นอาจต้องพิจารณาเป็นรายบุคคล ทั้งนี้ ปริมาณและระยะเวลาในการใช้จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์หรือเภสัชกรเป็นหลัก เพราะต้องมีการประเมินถึงสาเหตุของโรคและความรุนแรงของอาการที่ผู้ป่วยเป็นร่วมด้วย

การใช้วิตามินบีรวม

ก่อนการใช้วิตามินทุกครั้งควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรให้ทราบหากเคยมีประวัติการแพ้ยา มีโรคประจำตัวเดิม หรือกำลังใช้ยา สมุนไพร และวิตามินเสริมตัวใดอยู่ในช่วงนั้น เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียง ซึ่งผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือข้อบ่งใช้บนฉลากผลิตภัณฑ์ ไม่ควรเปลี่ยน เพิ่ม และลดปริมาณการใช้วิตามินด้วยตนเอง ยกเว้นได้รับคำสั่งจากแพทย์ 

หากเป็นวิตามินในรูปแบบเม็ด ไม่ควรเคี้ยว แบ่ง หรือตัดออกเป็นส่วน ควรรับประทานทั้งเม็ด จากนั้นดื่มน้ำตาม 1 แก้ว ส่วนวิตามินในรูปแบบยาน้ำบางชนิดต้องเขย่าขวดให้เข้ากันดีก่อน และใช้ช้อนตวงยาที่ทางโรงพยาบาลให้มา

การเก็บรักษาวิตามินบีรวมควรอยู่ในที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส ห่างจากความร้อน ความชื้น แสงแดด และเก็บไว้ให้ห่างจากมือเด็ก รวมถึงไม่ควรนำวิตามินที่หมดอายุมารับประทานหรือฉีด เพราะอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย

ปฏิกิริยาระหว่างวิตามินบีรวมกับยาอื่น

วิตามินบีรวมอาจทำปฏิกิริยากับยา วิตามิน หรือสมุนไพรบางชนิด ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะยาต่อไปนี้

  • ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น ยาคลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol)
  • ยารักษาโรคลมชักบางชนิด เช่น ยาเฟนิโทอิน (Phenytoin)
  • ยารักษาโรคพาร์กินสัน อย่างยาเลโวโดปา (Levodopa) 
  • ยารักษาโรคมะเร็งบางชนิด เช่น ยาซิสพลาติน (Cisplatin)

ตัวอย่างยาดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่อาจทำปฏิกิริยากับวิตามินบีรวมเท่านั้น หากผู้ป่วยกำลังใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ อยู่ ควรแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกาย

ผลข้างเคียงจากการใช้วิตามินบีรวม

วิตามินบีรวมแทบไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง บางส่วนอาจมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย รู้สึกวูบวาบได้เล็กน้อย ขึ้นอยู่กับสูตรและปริมาณของส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ แต่ในบางรายอาจเกิดอาการแพ้ยาจนทำให้มีอาการรุนแรงขึ้น เช่น วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง มีปัญหาในการหายใจ เกิดผื่นแดง คัน และมีอาการบวมบริเวณใบหน้า คอ ลิ้น ซึ่งควรรีบไปพบแพทย์