การปฏิบัติตามวิธีดูแลผิวหน้าที่ถูกต้องเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยป้องกันการเกิดปัญหาผิว เช่น สิว ผิวแห้งกร้าน ผิวคล้ำเสีย รวมทั้งช่วยชะลอความเสื่อมของผิวตามวัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดมีหลากหลาย จึงทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง
ความจริงแล้วการดูแลผิวหน้าให้มีสุขภาพดีไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงหรือมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก เพียงแค่ต้องเข้าใจสภาพผิวของตนเองและดูแลผิวอย่างถูกต้องด้วยขั้นตอนง่าย ๆ เท่านี้ก็สามารถช่วยให้คุณมีผิวหน้าที่เนียนใสได้ แถมยังประหยัดเงินและเวลาอีกด้วย
วิธีดูแลผิวหน้าเริ่มที่การเข้าใจสภาพผิว
สภาพผิวของแต่ละคนแตกต่างกัน การทำความเข้าใจสภาพผิวจะช่วยให้เราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของเรา โดยสภาพผิวแบ่งเป็น 5 ประเภท ดังนี้
ผิวธรรมดา
ผิวธรรมดาเป็นผิวในอุดมคติของใครหลายคน เพราะผู้ที่มีผิวธรรมดามักไม่มีปัญหาผิวใดเป็นพิเศษ ผิวมีความสมดุล มีความเงาเล็กน้อย ไม่แห้งหรือมันจนเกินไป มีลักษณะเรียบเนียนจนแทบไม่เห็นรูขุมขน และไม่เกิดการระคายเคืองง่าย
ผิวแห้ง
ผิวแห้งเป็นผิวที่มีลักษณะแห้ง หยาบกร้าน ขาดความยืดหยุ่น และเห็นรูขุมขนค่อนข้างชัดเจน ผู้มีผิวแห้งมักมีริ้วรอยง่ายกว่าผู้มีสภาพผิวแบบอื่น หากผิวแห้งมากอาจทำให้เกิดรอยแดงบนผิวและทำให้ผิวลอกเป็นขุยได้
ผิวมัน
ผิวมันเป็นผิวที่มีน้ำมันบนผิวมากกว่าสภาพผิวอื่น เนื่องจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากผิดปกติ ทำให้ผิวหน้ามีลักษณะมันเยิ้ม รูขุมขนกว้าง เกิดสิวต่าง ๆ ตามมาได้ง่าย หากอยู่ในสภาพอากาศร้อนจะยิ่งทำให้ผิวหน้ามันมากขึ้น
ผิวผสม
ผิวผสม (Combination Skin) เป็นผิวที่มีลักษณะผสมระหว่างผิวแห้งหรือผิวธรรมดากับผิวมัน โดยส่วนมากมักมีผิวแห้งบริเวณแก้มและมีผิวมันบริเวณทีโซน (T-Zone) ซึ่งหมายถึงบริเวณหน้าผาก จมูก และคาง ซึ่งทำให้การดูแลผิวยากกว่าคนที่มีสภาพผิวแบบอื่น เพราะผิวแต่ละจุดมีปัญหาที่ต้องการการดูแลที่ต่างกัน โดยในบริเวณที่ผิวแห้งอาจรู้สึกถึงความแห้งตึง ผิวแดงและลอกเป็นขุย ส่วนบริเวณที่ผิวมันจะมีลักษณะมันเงา เห็นรูขุมขนกว้าง และมีสิว
ผิวแพ้ง่าย
ผู้มีผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin) มักรู้สึกระคายเคืองต่อสารเคมีที่ผสมในครีมบำรุงผิวและเครื่องสำอาง เมื่อสัมผัสสารนั้นจึงทำให้เกิดอาการคันและแสบผิว ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดง ในบางครั้งอาจทำให้ผิวแห้งลอกและมีตุ่มหรือผื่นขึ้นได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
วิธีดูแลผิวหน้าง่าย ๆ ใน 4 ขั้นตอน
ไม่ว่าคุณจะมีสภาพผิวแบบใด การดูแลผิวหน้าเป็นประจำด้วยวิธีที่ถูกต้องจะช่วยแก้ไขปัญหาผิวและช่วยให้ผิวเนียนใสมีสุขภาพดี โดยมีขั้นตอนง่าย ๆ เพียง 4 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
-
การล้างหน้า
ขั้นตอนแรกของวิธีดูแลผิวหน้าคือการล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าและก่อนเข้านอน หากแต่งหน้าควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางก่อนการล้างหน้า ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น สูตรน้ำ บาล์ม (Balm) โลชั่นเนื้อน้ำนม และแผ่นเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอาง
เมื่อล้างเครื่องสำอางออกจนหมดแล้ว เลือกใช้โฟมล้างหน้าที่อ่อนโยน ใช้ปลายนิ้วนวดเบา ๆ โดยไม่ขัดถูผิวหน้า จากนั้นล้างโฟมออกด้วยน้ำสะอาดและซับหน้าให้แห้ง
นอกจากนี้ การล้างหน้าให้เหมาะกับสภาพผิวก็เป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาผิวได้ตรงจุด เช่น ผู้ที่มีผิวมันควรเลือกใช้โฟมล้างหน้าที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ผู้ที่มีผิวแห้งควรเลือกโฟมล้างหน้าที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น และผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่ายควรเลือกใช้โฟมล้างหน้าที่ผสมกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) และเบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เป็นต้น
-
เซรั่ม
วิธีดูแลผิวหน้าในขั้นตอนต่อมาคือการใช้เซรั่ม (Serum) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อบางเบาที่ประกอบด้วยสารบำรุงผิวเข้มข้น จึงช่วยบำรุงผิวให้เนียนใสและมีสุขภาพดี โดยเซรั่มมีหลากหลายสูตร และแต่ละสูตรมีคุณสมบัติในการบำรุงผิวที่ต่างกัน เช่น ลดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยให้ผิวกระจ่างใส
ทั้งนี้ หลังล้างหน้าสามารถใช้เซรั่มได้ทั้งตอนเช้าและก่อนนอน หากใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมของเรตินอล (Retinol) ซึ่งช่วยลดเลือนริ้วรอยและชะลอความแก่ของผิว ควรใช้ช่วงก่อนนอนเพราะจะช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และซ่อมแซมผิวในยามค่ำคืน ส่วนเซรั่มที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี (Vitamin C) ควรใช้ในตอนเช้า เนื่องจากช่วยป้องกันความเสียหายของผิวจากรังสียูวี (UV) ในแสงแดด
นอกจากนี้ หากใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก AHA และเบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ ควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านเสมอ เพราะสารเหล่านี้อาจทำให้ผิวไวต่อแสงและระคายเคืองง่าย
-
มอยส์เจอไรเซอร์
หลายคนอาจเข้าใจว่ามอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับคนที่มีผิวแห้งเท่านั้น แต่ความจริงแล้วการเติมความชุ่มชื้นให้ผิวเป็นวิธีดูแลผิวหน้าที่จำเป็นสำหรับคนทุกสภาพผิว หากผิวสูญเสียน้ำจะเริ่มขาดความยืดหยุ่น ทำให้ผิวหยาบ ลอกเป็นขุย แดง คัน และอาจเกิดผื่นผิวหนังอักเสบ (Dermatitis) ตามมา
มอยส์เจอร์ไรเซอร์มักมีส่วนประกอบของสาร 3 ประเภท ได้แก่ สารที่ช่วยดูดซับน้ำ (Humectant) และสารปิดกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน (Occlusive) จะช่วยดึงความชื้นเข้าสู่ผิวและเก็บความชุ่มชื้นในผิวไม่ให้ระเหยออกไป และสารที่ช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม (Emollient) ที่มีคุณสมบัติเพิ่มความเรียบลื่นของผิวหนัง นอกจากนี้ มอยส์เจอร์ไรเซอร์บางชนิดอาจผสมสารออกฤทธิ์ชนิดอื่น ๆ เช่น สารกันแดด วิตามินซี และวิตามินอี เป็นต้น
ทั้งนี้ ควรเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิว หากมีผิวมันควรเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบาและไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ส่วนผู้ที่มีผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายอาจใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดครีมที่มีเนื้อหนา และชนิดขี้ผึ้ง ซึ่งมักไม่ผสมสารกันเสียที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง
-
ครีมกันแดด
แสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำร้ายผิว ทำให้ผิวหยาบกร้าน สีผิวไม่สม่ำเสมอ เกิดจุดด่างดำ ริ้วรอยก่อนวัย และอาจนำไปสู่โรคมะเร็งผิวหนังได้ จึงควรทาครีมกันแดดชนิดที่ปกป้องผิวได้อย่างครอบคลุม (Broad-Spectrum) ซึ่งมีค่า SPF 30 ขึ้นไป โดยทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านอย่างน้อย 15 นาทีเพื่อให้ครีมซึมเข้าสู่ผิวหนัง เน้นทาครีมบนผิวหนังบริเวณที่ไม่มีเสื้อผ้าปกคลุมและทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง
ผู้ที่มีผิวแห้งอาจเลือกใช้ครีมกันแดดชนิดครีมที่มีเนื้อหนา ส่วนผู้ที่มีผิวมันอาจเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อเบาอย่างโลชั่น (Lotion) หากใช้ครีมบำรุงผิวและเครื่องสำอางบางชนิดที่ผสมสารกันแดด ควรทาซ้ำระหว่างวันเพื่อรักษาประสิทธิภาพการป้องกันแสงแดด
วิธีดูแลผิวหน้าที่ถูกต้องไม่ใช่เรื่องยาก หากเข้าใจและใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว นอกจากนี้ ควรดูแลสุขภาพ เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ เพื่อบำรุงผิวจากภายในควบคู่กันไป หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกใช้ครีมบำรุงผิวและปัญหาผิวที่ไม่หายขาด ควรปรึกษาเภสัชกรและแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำ