เคล็ดไม่ลับดูแลผิวกาย เปลี่ยนผิวเสียเป็นผิวสวย

คนส่วนใหญ่มักให้ความสนใจกับการดูแลผิวหน้าจนมองข้ามผิวกาย ซึ่งเป็นผิวส่วนที่ควรได้รับการดูแลไม่แพ้กัน แต่สกินแคร์ราคาแพงหรือแม้แต่มีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึกก็อาจไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่หากละเลยการดูแลผิวในขั้นตอนพื้นฐาน

ผิวสวยสุขภาพดีย่อมเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา นอกจากการดูแลผิวด้วยสกินแคร์ สิ่งที่ควรให้ความสนใจไม่แพ้กันคงจะเป็นเรื่องการทำความสะอาดผิว การบำรุงผิวจากภายใน และการปกป้องผิวจากมลภาวะในทุกวัน ในบทความนี้จะมาแชร์เคล็ดลับการดูแลผิวกายอย่างเหมาะสมเพื่อผิวสวยสุขภาพดี

Take care skin

ขั้นตอนดูแลผิวกาย เพื่อผิวสวยสุขภาพดี  

การดูแลผิวกายที่ถูกต้องไม่เพียงจะช่วยให้ผิวพรรณดูสุขภาพดี แต่ยังช่วยให้ผิวแข็งแรงและลดปัญหาผิวได้เพียงทำตามเคล็ดลับต่อไปนี้  

ทำความสะอาดอย่างเหมาะสม

ในแต่ละวันผิวหนังสัมผัสกับสิ่งสกปรกและมลภาวะมากมาย ทั้งแสงแดด เหงื่อไคล ฝุ่นควัน และเชื้อโรค ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจรบกวนผิวจนทำให้ผิวเสียและเกิดปัญหาผิวตามมา เราจึงควรรู้วิธีทำความสะอาดผิวและกำจัดสิ่งสกปรกโดยไม่ทำร้ายผิว โดยทั่วไปอาจทำได้ด้วยการจำกัดเวลาในการอาบน้ำ โดยเฉพาะการอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน เพราะอุณหภูมิของน้ำที่สูงเกินไปจะไปล้างคราบไขมันส่วนเกินบนผิวและทำให้ปริมาณน้ำมันในชั้นผิวน้อยลงจนอาจส่งผลให้ผิวแห้งได้ จึงควรปรับอุณหภูมิของน้ำให้เหมาะสม ไม่อาบน้ำหรือแช่น้ำนานจนเกินไป

การเลือกสบู่หรือครีมอาบน้ำก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ ผู้ที่ออกกำลังกายและผู้ที่มีผิวมันควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกำจัดคราบไคลและทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก แต่ไม่ควรจะมีฤทธิ์แรงเกินไปจนทำให้ผิวแห้งตึงหลังอาบน้ำ ส่วนผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคือง รวมไปถึงควรเลือกสบู่ที่มีสารให้ความชุ่มชื้น อย่างปิโตรลาทัม (Petrolatum) มิเนอรัลออยล์ (Mineral Oil) เซราไมด์ (Ceramide) และกลีเซอรีน (Glycerin)

หลังจากการอาบน้ำเสร็จ ก็ไม่ควรปล่อยให้หยดน้ำบนผิวแห้งไปเอง เพราะการระเหยของหยดน้ำจะดึงน้ำในชั้นผิวออกไปและทำให้ผิวแห้งเพิ่มมากยิ่งขึ้น ควรใช้ผ้าเช็ดตัวขนนุ่ม ๆ ในการซับน้ำบนผิวหนัง ซึ่งจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวได้

นอกจากนี้ ควรสครับผิวอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อกำจัดเซลล์ผิวเก่าและกระตุ้นการเกิดเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งอาจช่วยให้ผิวแข็งแรงและดูเปล่งปลั่งขึ้น แต่ควรระมัดระวังในการเลือกเนื้อสครับที่เหมาะสม ความแรงในการขัดถู และความถี่ในการสครับผิว เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวถูกรบกวนมากจนเกินไป

ใช้สกินแคร์เป็นประจำ

สกินแคร์เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลผิว ในปัจจุบันมีสกินแคร์หลากหลายชนิด หลายสูตร และหลายยี่ห้อ แต่สกินแคร์ที่ควรใช้เป็นประจำเพื่อผิวสุขภาพดี คือ มอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดด

  • มอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer) หรือสารให้ความชุ่มชื้นเป็นสกินแคร์ที่จำเป็นต่อทุกสภาพผิว เพราะผิวที่ขาดความชุ่มชื้นมักมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาผิวได้ง่ายกว่า เช่น ผิวแพ้ง่าย ระคายเคือง เกิดริ้วรอย เป็นต้น นอกจากนี้ แม้แต่ในคนผิวมันก็มีความเสี่ยงที่ผิวจะแห้งได้เหมือนกัน มอยส์เจอไรเซอร์จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการดูแลผิว แต่เพื่อป้องกันความมันส่วนเกินจึงควรเลือกเนื้อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากน้ำและมีความบางเบาเป็นหลัก ในขณะที่คนผิวแห้งควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นมากขึ้น อย่างน้ำมันหรือเนื้อครีมที่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ ส่วนคนผิวผสมสามารถเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ทั้งสองชนิด หรืออาจเลือกผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผิวผสม
  • ครีมกันแดดเป็นสกินแคร์ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงและรังสียูวี ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดหรือแสงจากหน้าจอเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแสงและรังสีเหล่านี้อาจทำให้ผิวอ่อนแอและอาจนำไปสู่ปัญหาผิวในระยะยาวอย่างโรคมะเร็งผิวหนัง จึงควรใช้ครีมกันแดดอยู่เสมอและควรทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อประสิทธิภาพการป้องกันที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ภายในอาคารหรือกลางแจ้ง

นอกจากนี้ คนที่มีปัญหาผิวอาจลองเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกายที่มีคุณสมบัติในการแก้ปัญหาผิว หากเป็นคนที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำอาจเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารไวท์เทนนิ่งหรือสารช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างเอเอชเอ (AHA) และบีเอชเอ (BHA) ก็อาจช่วยให้ผิวดูสว่างขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกันอาจให้ผลลัพธ์แตกต่างกันไปในแต่ละคน อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการใช้สกินแคร์ คือ ควรเลือกซื้อสกินแคร์จากร้านค้าที่เชื่อถือได้ และหลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีการโฆษณาเกินจริง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย เพราะอาจเป็นอันตรายและทำให้เกิดปัญหาผิวตามมา

เพิ่มสารอาหารให้กับผิว

อาหารที่มีประโยชน์ไม่เพียงช่วยให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่ยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวด้วย เช่น

  • ผักและผลไม้

ผักและผลไม้อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ ทั้งวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ และใยอาหาร โดยสารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยบำรุงร่างกายและผิวให้มีสุขภาพดี เช่น วิตามินซีจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวแข็งแรง ปกป้องผิวจากแสงแดด ชะลอการเกิดริ้วรอย หรือวิตามินอีช่วยต้านการอักเสบของผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ป้องกันรังสียูวีที่เป็นสาเหตุของริ้วรอยและผิวแก่ก่อนวัย เป็นต้น ตัวอย่างของผักผลไม้ที่มีวิตามินและสารอาหารบำรุงผิวสูง ได้แก่ ส้ม มันหวาน มะเขือเทศ ถั่วเหลือง อะโวคาโด ผลไม้ตระกูลเบอรี่ บร็อคโคลี่ และผักใบเขียวชนิดอื่น ๆ 

  • ปลาทะเล

ปลาทะเลเป็นแหล่งของโอเมก้า 3 และโปรตีน โดยโปรตีนนั้นมีหน้าที่ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอและร่างกายจะเปลี่ยนโปรตีนเป็นกรดอะมิโนเพื่อใช้สร้างคอลลาเจนและเคราตินที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น จึงอาจช่วยป้องกันริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อย รวมทั้งกรดอะมิโนบางชนิดยังอาจช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีได้ด้วย ส่วนโอเมก้า 3 เป็นไขมันดีที่มีสรรพคุณต้านการอักเสบของผิวหนังและร่างกาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวดูอิ่มน้ำและมีสุขภาพดี นอกจากนี้ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์บางชิ้นยังชี้ว่ากรดไขมันโอเมก้าอาจช่วยชะลอการเกิดของเซลล์มะเร็งผิวหนัง

  • ชาเขียวและช็อกโกแลต

ชาเขียวและช็อกโกแลตถือว่าเป็นอาหารอีกชนิดที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยยับยั้งการเสื่อมและป้องกันความเสียหายของเซลล์ภายในร่างกายและเซลล์ผิวหนัง โดยชาเขียวมีสารแคทีชิน (Catechins) ที่อาจช่วยลดรอยแดงบนผิวหนัง เพิ่มความยืดหยุ่นและเรียบเนียน ส่วนช็อกโกแลตมีสารฟลาโวนอล (Flavonols) ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด จึงอาจช่วยให้เซลล์ผิวหนังได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ทำให้ให้ผิวแข็งแรงและฟื้นฟูได้ดีขึ้น นอกจากนี้ สารทั้ง 2 ชนิดยังอาจช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาผิว แต่เพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ควรเลือกรับประทานแบบไม่มีน้ำตาลและครีมเทียม เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้

อย่างไรก็ตาม สรรพคุณของอาหารที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวของอาหารเหล่านี้เป็นเพียงผลลัพธ์จากการศึกษาวิจัยเท่านั้น จึงไม่สามารถยืนยันถึงประโยชน์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ควรรับประทานอย่างเหมาะสมร่วมกับการดูแลผิวด้วยวิธีอื่นควบคู่กันไปด้วย

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

หลายคนอาจดูแลผิวด้วยวิธีข้างต้นได้เป็นอย่างดี แต่อาจยังไม่ทราบว่าพฤติกรรมบางอย่างก็อาจส่งผลต่อผิวได้ หากลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางส่วนอาจช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผิวและลดการรบกวนผิว เช่น

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการพักผ่อนที่เพียงพอจะส่งผลดีต่อร่างกายโดยรวม เมื่อร่างกายแข็งแรงจะทำให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้เป็นปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้สุขภาพผิวดีขึ้นด้วย
  • ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม เพราะของเหลวจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ป้องกันอาการผิวแห้ง แตก และคันได้
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ทำให้เนื้อเยื่อภายในร่างกายและผิวหนังได้รับออกซิเจน น้ำ และสารอาหารอย่างเพียงพอ ส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
  • หลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะแสงแดดไม่เพียงทำให้ผิวคล้ำเสีย แต่ยังอาจทำให้ผิวไหม้ อักเสบ สูญเสียความชุ่มชื้น ผิวแก่ก่อนวัย และกระตุ้นสารอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของปัญหาผิวและโรคมะเร็งผิวหนัง
  • งดสูบบุหรี่ เนื่องจากสารเคมีจากบุหรี่ไม่เพียงเป็นพิษต่อปอดเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อผิวด้วย โดยสารพิษในบุหรี่จะเข้าไปยับยั้งการสร้างคอลลลาเจน เมื่อขาดคอลลาเจนผิวก็จะแห้ง ขาดความชุ่มชื้น เกิดริ้วรอยและอ่อนแอลงได้ อีกทั้งสารพิษในบุหรี่ก็ยังอยู่ในกลุ่มสารก่อมะเร็งด้วย

นอกเหนือจากวิธีการดูแลผิวกายที่ถูกต้องและการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายผิวแล้ว การมีวินัยในการดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสมก็อาจช่วยมีส่วนช่วยเรื่องผิวพรรณที่สวย แข็งแรง และมีสุขภาพดีได้ สุดท้ายนี้ ผู้ที่มีปัญหาผิวอย่างรุนแรงหรือเป็นโรคผิวหนัง ควรเริ่มต้นจากการปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อขอคำแนะนำและรับการรักษาที่ถูกต้อง