5 กีฬาสำหรับคนเป็นโรคหัวใจ เตรียมออกกำลังให้ปลอดภัย

กีฬาสำหรับคนเป็นโรคหัวใจเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้น แม้โรคหัวใจอาจเป็นอุปสรรคต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน และผู้ป่วยหลายคนอาจกังวลใจเมื่อต้องออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง แต่รู้หรือไม่ว่าผู้ป่วยโรคหัวใจเองก็สามารถออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัยหากออกกำลังกายด้วยวิธีที่เหมาะสม

การออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อการทำงานของหัวใจ โดยช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหัวใจ และลดความเสี่ยงของการเจ็บหน้าอกของผู้ป่วยโรคหัวใจ นอกจากนี้ ยังช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เสริมความแข็งแรงให้กับกระดูกและกล้ามเนื้อ ลดระดับความดันโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 

กีฬาสำหรับคนเป็นโรคหัวใจ

กีฬาสำหรับคนเป็นโรคหัวใจที่แนะนำ

ผู้ป่วยโรคหัวใจสามารถออกกำลังกายได้ โดยอาจเริ่มออกกำลังกายที่ความหนักระดับปานกลางเป็นเวลา 10–15 นาที และเมื่อร่างกายปรับสภาพได้ จึงค่อยเพิ่มระยะเวลามากขึ้น 

ผู้ป่วยโรคหัวใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกประเภทกีฬาที่เหมาะสมและปลอดภัยต่อการออกกำลังกาย ซึ่งกีฬาที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคหัวใจ เช่น

1. เดินเร็ว

การเดินเร็วช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจในการสูบฉีดเลือด และช่วยลดระดับความดันโลหิต โดยเฉลี่ยแล้ว แนะนำให้ผู้ที่เป็นโรคหัวใจเดินให้ได้ประมาณ 30–45 นาทีต่อวัน โดยกำหนดวันหยุดพัก 1–2 วันต่อสัปดาห์ 

หากเพิ่งเริ่มออกกำลังกายด้วยการเดิน ควรเริ่มจากการเดินวันละ 5–10 นาที ไม่ควรเดินเร็วเกินไปจนรู้สึกเหนื่อยหอบ โดยขณะที่เดินยังสามารถพูดคุยได้สบาย ๆ และค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาการเดินวันละ 2–3 นาที ซึ่งผู้ป่วยสามารถเลือกเดินออกกำลังกายนอกบ้าน หรือเดินเร็วบนลู่วิ่งไฟฟ้าก็ได้ 

หากเดินออกกำลังกายนอกบ้าน ควรเดินในระยะที่ไม่ไกลจากบ้าน และสามารถเดินกลับได้ และควรมีเพื่อนเดินไปด้วย เพื่อช่วยเหลือในกรณีที่อาการโรคหัวใจกำเริบ

2. วิ่ง

การวิ่งเพียง 10 นาทีต่อวันอาจช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระตุ้นให้หัวใจสามารถสูบฉีดเลือดได้ดี อีกทั้งช่วยลดคอเลสเตอรอล และช่วยในการควบคุมน้ำหนักตัว ผู้ป่วยโรคหัวใจที่สนใจการวิ่ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสมรรถภาพของร่างกาย และวิ่งตามคำแนะนำของแพทย์

ในช่วงแรก ผู้ป่วยควรเริ่มจากการวิ่งเหยาะ (Jogging) วันละประมาณ 10 นาที แล้วค่อยเพิ่มระยะเวลาและระยะทางในการวิ่งเมื่อร่างกายปรับสภาพได้แล้ว โดยมีข้อควรระวังคือเลือกรองเท้าวิ่งที่พอดีกับเท้าและรองรับแรงกระแทกจากการวิ่งได้ดี ไม่ควรวิ่งเร็วเกินไป ควรหยุดพักเป็นระยะเมื่อรู้สึกเหนื่อย และหากเลือกวิ่งนอกบ้าน ไม่ควรวิ่งในระยะที่ไกลจากบ้าน 

3. ว่ายน้ำ

หัวใจของเราจะทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดขณะอยู่ในน้ำ และเมื่อเริ่มว่ายน้ำ หัวใจจะทำงานหนักขึ้นเนื่องจากแรงต้าน (Resistance) ของน้ำ อัตราการเต้นของหัวใจจึงเพิ่มขึ้น ทำให้หัวใจ การไหลเวียนเลือด ปอด และกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ แข็งแรง

ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มว่ายน้ำ ซึ่งแพทย์จะประเมินและให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยที่ต้องการว่ายน้ำ หรืออาจแนะนำการออกกำลังกายรูปแบบอื่นให้ตามความเหมาะสม ผู้ป่วยควรเริ่มว่ายน้ำเมื่อไม่มีอาการของโรคหัวใจ เช่น เจ็บหน้าอก และหายใจหอบ โดยมีข้อแนะนำ ดังนี้ 

  • ควรว่ายน้ำในสระว่ายน้ำที่มีครูหรือเจ้าหน้าที่ประจำสระ หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในทะเล หรือแม่น้ำที่อาจมีคลื่นหรือกระแสน้ำแรง
  • ค่อย ๆ ลงสระบริเวณที่มีน้ำตื้นก่อนเพื่อให้ร่างกายชินกับอุณหภูมิของน้ำ
  • ไม่ควรหักโหมจนเกินไป ความหนักในการว่ายน้ำควรน้อยกว่าการออกกำลังกายบนบกประเภทอื่น ๆ
  • ว่ายน้ำในท่าที่ถนัดและว่ายได้สบาย และหลีกเลี่ยงการกระโดดน้ำ กลั้นหายใจใต้น้ำ หรือก้มหน้าอยู่ในน้ำนานเกินไป เพราะอาจทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
  • ไม่ควรลงว่ายน้ำหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ ควรรออย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร
  • ผู้ป่วยที่เพิ่งผ่าตัดหัวใจ คุณควรรอให้แผลผ่าตัดบริเวณทรวงอกสมานตัวดีอย่างน้อย 12 สัปดาห์ก่อนว่ายน้ำ

 

4. กระโดดเชือก

การกระโดดเชือกอย่างต่อเนื่องทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดและออกซิเจนมากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจ จึงเป็นกีฬาที่ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้นและเพิ่มความจุของปอด ซึ่งทำให้คุณออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้นานขึ้นโดยไม่รู้สึกเหนื่อยง่าย นอกจากนี้ ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เป็นโรคหัวใจที่ต้องการออกกำลังกายด้วยการกระโดดเชือกควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับความหนักและระยะเวลาที่เหมาะสมในการกระโดดเชือกที่เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละคน

5. โยคะ

โยคะเป็นการเคลื่อนไหวช้า ๆ เพื่อยืดเหยียดกล้ามเนื้อ พร้อมกับควบคุมลมหายใจและกำหนดจิตให้สงบนิ่ง ซึ่งช่วยกล้ามเนื้อและข้อต่อยืดหยุ่น เสริมการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี และลดระดับความดันโลหิต

ผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจมักมีอาการหายใจลำบากขณะออกกำลังกาย ทำให้ออกกำลังกายหนักไม่ได้ โยคะจึงเป็นกีฬาที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฝึกลมหายใจให้ประสานกับท่าทางของโยคะ ช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง ลดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะในผู้ป่วยภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) และผ่อนคลายความเครียดและวิตกกังวล

ทั้งนี้ โยคะมีหลายรูปแบบ ผู้ป่วยโรคหัวใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการโยคะอย่างเหมาะสม โดย ฝึกโยคะกับผู้สอนที่มีความเชี่ยวชาญ ไม่ควรฝืนเล่นโยคะในท่าที่ยากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดความเครียด และการบาดเจ็บ และหลีกเลี่ยงการเล่นโยคะร้อน เพราะอาจทำให้เกิดอาการขาดน้ำ เมื่อดื่มน้ำปริมาณมากตาม อาจทำให้ปริมาณของเหลวในร่างกายเสียสมดุล และทำให้อาการโรคหัวใจแย่ลง

ข้อแนะนำในการเล่นกีฬาสำหรับคนเป็นโรคหัวใจ 

ผู้ป่วยโรคหัวใจที่ต้องการเล่นกีฬามีข้อควรระวังต่อไปนี้

  • ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนเริ่มการออกกำลังกายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย
  • ควรเริ่มออกกำลังกายด้วยการใช้แรงเบา ๆ หรือวอร์มอัพประมาณ 5–10 นาทีก่อนทุกครั้งเพื่อเตรียมพร้อมร่างกาย และควรคูลดาวน์ทุกครั้งหลังออกกำลังกาย เพื่อปรับร่างกายสู่สภาพปกติหลังจากการออกกำลังกาย
  • ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหมจนเกินไป แต่ควรหยุดพักให้หายเหนื่อยเป็นช่วง ๆ หรือแบ่งการออกกำลังกายเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ หลายวันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ใช้แรงมาก เช่น ยกน้ำหนัก วิดพื้น และแพลงก์ (Planks) เพราะการใช้แรงมากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูบฉีดเลือดที่มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้หัวใจทำงานหนักจนเกินไป 
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอทั้งก่อน ระหว่าง และหลังออกกำลังกาย
  • หลังออกกำลังกายควรหลีกเลี่ยงการแช่น้ำหรืออาบน้ำร้อนจัดหรือน้ำเย็นจัด และไม่ควรเข้านอนทันที
  • หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติในระหว่างการออกกำลังกาย เช่น หัวใจเต้นเร็วแม้จะหยุดพักแล้วประมาณ 15 นาที หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ เวียนหัว หายใจไม่อิ่มหรือหอบหายใจอย่างรุนแรง อ่อนแรง เจ็บหน้าอก และคลื่นไส้ ควรหยุดออกกำลังกายและพบแพทย์ทันที

นอกจากการออกกำลังกาย ผู้ป่วยโรคหัวใจจะต้องดูแลสุขภาพในด้านอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่มีประโยชน์ เลี่ยงหรือจำกัดอาหารที่มีไขมัน เกลือและน้ำตาลสูง จำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดการสูบบุหรี่ ใช้ยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด และไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจดูอาการ เนื่องจากอาการของโรคหัวใจอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ในภายหลัง