ไหล่หลุด (Shoulder Dislocation)

ความหมาย ไหล่หลุด (Shoulder Dislocation)

ไหล่หลุด (Shoulder Dislocation) เป็นอาการที่ข้อไหล่หลุดออกจากเบ้า ผู้ที่มีภาวะนี้สามารถสังเกตเห็นอาการได้ชัดจากลักษณะของไหล่ที่ผิดปกติไปจากเดิม รวมถึงอาจมีอาการปวดที่หัวไหล่หรือบริเวณรอบข้างอย่างรุนแรงร่วมด้วย

ไหล่หลุดเป็นภาวะที่กระดูกข้อไหล่หลุดออกจากเบ้า ซึ่งอาจหลุดทั้งข้อไหล่หรือหลุดเพียงบางส่วน โดยอาการนี้สามารถหลุดได้หลายรูปแบบ เช่น หลุดไปด้านหน้า หลุดไปด้านหลัง หรือหลุดลงมาด้านล่าง แต่ที่พบได้มากมักหลุดไปทางด้านหน้า เนื่องจากข้อไหล่เป็นส่วนที่เคลื่อนไหวได้หลายทิศทาง

Shoulder Dislocation

สาเหตุของอาการไหล่หลุด

เนื่องจากข้อไหล่เป็นส่วนที่สามารถขยับได้หลายทิศทาง หัวไหล่จึงเป็นส่วนที่มีโอกาสหลุดได้บ่อยที่สุดในร่างกาย โดยสาเหตุของอาการไหล่หลุดที่อาจเป็นไปได้ก็เช่น

  • การหมุนไหล่ที่รุนแรงเกินไป
  • การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา เช่น ฟุตบอล วอลเลย์บอล รักบี้ ปีนเขา
  • การบาดเจ็บจากการขับขี่รถจักรยานยนต์
  • การบาดเจ็บจากการหกล้ม โดยแขนกระแทกลงพื้น

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลให้บางคนมีโอกาสเกิดอาการไหล่หลุดได้มากขึ้นอีกด้วย เช่น

  • อายุ อายุเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการไหล่หลุด โดยพบว่าเด็ก วัยรุ่น หรือผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงของการเกิดอาการไหล่หลุดได้มากที่สุด 
  • พันธุกรรม
  • มีประวัติการเกิดไหล่หลุดมาก่อน
  • ผู้ที่ร่างกายมีความยืนหยุ่นสูงมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการไหล่หลุดได้มากกว่า

อาการไหล่หลุด

อาการทั่วไปของผู้ที่มีไหล่หลุดที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัด คือ รูปร่างของไหล่ที่ผิดแปลกไป มีลักษณะเป็นเหลี่ยม ๆ และอาจมีลักษณะเป็นก้อนนูนใต้ผิวหนังได้

นอกจากนี้อาจมีอาการปวดรุนแรง บวม ฟกช้ำ ไม่สามารถขยับหรือยกแขนได้ตามปกติ หรือมีอาการชา รู้สึกเจ็บเหมือนมีเข็มแทงในบริเวณรอบข้าง เช่น คอหรือแขน และอาจมีความเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้นจากอาการกล้ามเนื้อกระตุกที่บริเวณรอบหัวไหล่

สัญญาณสำคัญของอาการไหล่หลุดที่ควรไปพบแพทย์

ผู้ที่มีอาการไหล่หลุดไม่ควรพยายามเคลื่อนหัวไหล่กลับด้วยตนเอง เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายหรืออาการมีความรุนแรงขึ้น โดยควรรีบไปพบแพทย์ทันที และในระหว่างที่ไปพบแพทย์สามารถปฏิบัติตัวเบื้องต้นตามแนวทางได้ดังต่อไปนี้

  • ลดการขยับแขน เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อ เอ็น เส้นประสาท เส้นเลือด หรือกล้ามเนื้อในบริเวณรอบข้อไหล่ได้
  • ใช้หมอนหรือม้วนผ้าสอดไว้ระหว่างแขนและลำตัว
  • ประคองแขนโดยใช้ที่คล้องแขน โดยงอแขนช่วงล่างขึ้นให้อยู่ในมุมฉากหรืออยู่ที่บริเวณหน้าอก
  • ประคบเย็นด้วยน้ำแข็งจะสามารถช่วยลดอาการปวดและบวมที่บริเวณรอบข้อไหล่ได้

การวินิจฉัยอาการไหล่หลุด

ในการวินิจฉัยอาการไหล่หลุด แพทย์จะตรวจร่างกายผู้ป่วยเบื้องต้น ตรวจอาการบวม การไหลเวียนของเลือด และความผิดปกติในบริเวณรอบ ๆ 

หากพบว่าอาจมีความเสียหายเกิดขึ้นที่กระดูก แพทย์จะทำการเอกซเรย์เพื่อตรวจสภาพของกระดูกหรือข้อต่อที่บริเวณไหล่ว่ามีกระดูกหักหรือไม่ ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องทำการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อตรวจหาความเสียหายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในบริเวณนั้นต่อไป

การรักษาไหล่หลุด

การรักษาอาการไหล่หลุดสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย โดยวิธีการรักษาที่แพทย์อาจใช้ก็เช่น

การจัดกระดูกให้เข้าที่ (Manipulation)

แพทย์จะทำการจัดให้กระดูกกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม ซึ่งอาจต้องใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาระงับประสาท หรือยาชาร่วมด้วยก่อนการรักษา โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยนั่งบนเตียง จากนั้นจะทำการหมุนแขนจนกว่าข้อไหล่จะกลับเข้าที่ ทั้งนี้ แพทย์อาจต้องทำการเอกซเรย์เพิ่มเติมเพื่อตรวจว่ากระดูกกลับเข้าไปที่เบ้าเรียบร้อยแล้ว

การตรึงอวัยวะ (Immobilization)

แพทย์จะใส่ที่คล้องแขนให้กับผู้ป่วยหลังเข้ารับการรักษาด้วยการจัดกระดูกให้เข้าที่เพื่อลดการเคลื่อนไหวของแขนและข้อไหล่เป็นเวลาประมาณ 2–3 สัปดาห์ ทั้งนี้ ระยะเวลาในการใส่ที่คล้องแขนอาจมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย

การใช้ยา

ปกติผู้ป่วยมักอาการดีขึ้นได้หลังแพทย์ทำการรักษาให้ข้อต่อกลับเข้าที่ แต่บางคนอาจจำเป็นต้องรับประทานยาแก้ปวดหรือยาคลายกล้ามเนื้อร่วมด้วยเพื่อบรรเทาอาการปวด

การฟื้นฟูสมรรถภาพ

เป็นขั้นตอนเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาความแข็งแรงและการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ให้กลับสู่สภาพเดิม ซึ่งต้องอาศัยเวลา ไม่ควรรีบทำการฟื้นฟูสมรรถภาพเพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้

การผ่าตัด

แพทย์อาจเลือกทำการผ่าตัดแบบเปิดหรือผ่าตัดแบบส่องกล้อง ขึ้นอยู่กับสาเหตุของผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อรักษาอาการข้อต่อ เอ็น เส้นประสาท หรือหลอดเลือดที่ได้รับความเสีย รวมถึงอาจทำในผู้ที่มีอาการไหล่หลุดบ่อยครั้ง ผู้ที่พบว่ามีกระดูกหักร่วมด้วย หรือผู้ที่มีความยืดหยุ่นของข้อต่อที่มากกว่าปกติ (Hyperlaxity) ซึ่งผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีจะมีอัตราการเกิดซ้ำของอาการไหล่หลุดได้มากกว่า

หลังจากทำการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว ผู้ที่มีอาการไหล่หลุดสามารถดูแลตัวเองเพิ่มเติมที่บ้านได้ โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้

  • ลดการเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดอาการเจ็บหรือปวดที่บริเวณไหล่ และหลีกเลี่ยงการยกของหนัก
  • ประคบเย็นครั้งละประมาณ 15–20 นาที ในช่วง 1–2 วันแรก เพื่อบรรเทาอาการปวดและบวม เมื่อพบว่ามีอาการที่ดีขึ้นแล้วอาจประคบร้อนเพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อครั้งละไม่เกิน 20 นาที
  • รับประทานยาบรรเทาอาการปวด เช่น ไอบูโพรเฟน นาพรอกเซน หรืออะเซตามิโนเฟน เพื่อบรรเทาอาการปวด
  • ออกกำลังกายภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะข้อไหล่ติด 

ภาวะแทรกซ้อนของอาการไหล่หลุด

ผู้ที่มีประวัติอาการไหล่หลุดเกิดขึ้นหลายครั้ง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น

  • กล้ามเนื้อหรือเอ็นฉีกขาด
  • เส้นประสาทหรือหลอดเลือดได้รับความเสียหาย
  • อาการไหล่คลอน โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการไหล่หลุดรุนแรงหรือผู้ที่มีประวัติอาการไหล่หลุดเกิดขึ้นหลายครั้ง

นอกจากนี้ อาการไหล่หลุดเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นซ้ำได้ ขึ้นอยู่กับการสมานแผลของเนื้อเยื่อหลังเข้ารับการผ่าตัดที่บริเวณข้อไหล่ในการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นในครั้งแรก รวมถึงอายุของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปีและในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป จะมีโอกาสการเกิดซ้ำของอาการไหล่หลุดได้มากกว่า

การป้องกันอาการไหล่หลุด

ไหล่หลุดมักมีสาเหตุมาจากการกระแทกจากอุบัติเหตุต่าง ๆ รวมถึงการล้มในผู้สูงอายุ การป้องกันหรือลดความเสี่ยงจึงสามารถทำได้ด้วยการเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ชีวิตประจำวัน และปฏิบัติตามวิธีดังต่อไปนี้

  • ใช้ราวจับในขณะขึ้นและลงบันได
  • ควรมีชุดปฐมพยาบาลไว้ใกล้ตัวในกรณีฉุกเฉิน
  • ใช้แผ่นกันลื่นในบริเวณที่เปียก เช่น ห้องน้ำ
  • เก็บกวาดบ้านให้โล่ง หรือจัดของให้เป็นระเบียบ เพื่อป้องกันการสะดุดล้ม
  • ปลูกฝังพฤติกรรมให้เด็กมีความระมัดระวังมากขึ้น
  • คอยสอดส่องดูแลเด็ก ๆ ในขณะเล่นหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
  • สวมอุปกรณ์ป้องกันในขณะเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
  • หลีกเลี่ยงการเหยียบหรือยืนในบริเวณที่อาจทำให้ล้มง่าย
  • หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อและข้อต่อ