ความหมาย กระเนื้อ
กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) เป็นก้อนเนื้อชนิดที่ไม่ใช่มะเร็ง มีลักษณะเป็นติ่งเนื้อขนาดเล็กคล้ายหูดนูนขึ้นมาจากผิวหนัง มักพบตามใบหน้า หน้าอก ไหล่ และหลัง ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและไม่จำเป็นต้องรักษา ยกเว้นในรายที่กังวลเรื่องความสวยงาม ซึ่งพบได้บ่อยในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ
อาการของกระเนื้อ
ลักษณะหรืออาการของกระเนื้อสังเกตได้จาก
- เป็นก้อนเนื้อรูปร่างทรงกลมหรือวงรีคล้ายแปะติดอยู่กับผิวหนัง
- ขนาดของกระเนื้อส่วนมากมีขนาดเล็กไปจนถึงประมาณ 1 นิ้ว (2.5 เซนติเมตร)
- มีหลายสี พบได้ตั้งแต่น้ำตาลอ่อนหรือเข้มไปจนถึงสีดำ
- พื้นผิวของกระอาจมีลักษณะเรียบมันหรือขรุขระ ค่อนข้างแบนหรือนูนขึ้นมาเล็กน้อย
- พบได้บ่อยตามใบหน้า หนังศีรษะ หน้าอก ไหล่ ท้อง และหลัง มักเกิดเป็นกระจุกมากกว่าจุดเดียว แต่จะไม่พบตามฝ่ามือหรือฝ่าเท้า
- อาจมีอาการคันหรือเกิดการระคายเคือง แต่ไม่มีอาการเจ็บ
สาเหตุของกระเนื้อ
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของกระเนื้อ แต่เชื่อว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการเกิดมีดังนี้
- อายุ อายุที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดกระเนื้อได้มากตามวัย โดยพบบ่อยในผู้สูงอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปได้ถึง 90% และมักเกิดกับผู้ใหญ่วัยกลางคนอายุระหว่าง 30-40 ปีเช่นกัน ซึ่งอัตราการเกิดในเพศชายและหญิงเท่ากัน และไม่ค่อยพบในคนอายุน้อยกว่า 20 ปี
- พันธุกรรม บุคคลที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นกระเนื้อมักมีเกิดกระเนื้อสูงกว่าคนทั่วไปจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- แสงแดด ผู้ที่ตากแดดเป็นเวลานานหรือชอบอยู่กลางแจ้งมีโอกาสเกิดกระเนื้อมากขึ้น
- สาเหตุอื่น ๆ เช่น เป็นโรคผิวหนัง การติดเชื้อไวรัส การกลายพันธุ์ของยีน
แพทย์จะตรวจวินิจฉัยกระเนื้อได้ทันทีจากการสังเกตที่ผิวหนังด้วยตาเปล่า การสอบถามประวัติทางการแพทย์ และการตรวจร่างกาย แต่ในรายที่บอกไม่ได้ชัดเจน เนื่องจากกระเนื้อมีความคล้ายคลึงกับโรคทางผิวหนังหรือโรคมะเร็งผิวหนังหลายชนิด เช่น ชนิดเมลาโนมา (Malignant Melanoma) ชนิดเบซาลเซลล์หรือเรียกย่อว่า บีซีซี (Basal Cell Carcinoma) ชนิดสะความัส (Squamous Cell Carcinoma) ทำให้ต้องตรวจเพิ่มเติมจากวิธีอื่นควบคู่ไปด้วย ได้แก่
- การส่องกล้องตรวจผิวหนัง (Dermatoscopy) เพื่อดูโครงสร้างผิวหนังและความผิดปกติของเม็ดสีผิว ซึ่งวิธีนี้ยังใช้ในการวินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนังเช่นกัน
- การเก็บตัวอย่างของผิวหนังบริเวณที่เกิดกระเนื้อ เพื่อส่งตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา โดยการส่องผ่านกล้องจุลทรรศน์ (Skin Biopsy)
กระเนื้อไม่จำเป็นต้องรักษา เพราะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ ยกเว้นผู้ป่วยต้องการกำจัดกระเนื้อออกด้วยเหตุผลด้านความสวยงาม หรือผิวหนังบริเวณนั้นส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิต เช่น เกิดการระคายเคืองหรือเลือดออกเมื่อเสียดสีกับเสื้อผ้า
ในกรณีที่แพทย์ไม่ต้องการส่งชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยาและต้องการกำจัดกระเนื้อออก การรักษาสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งอาจใช้วิธีเดียวหรือหลายวิธีร่วมกัน
- การผ่าตัดด้วยความเย็นจัดหรือการจี้เย็น (Cryosurgery) เป็นวิธีรักษาที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้ไนโตรเจนเหลวแช่แข็งทำลายเนื้อเยื่อที่ผิดปกติออก แต่อาจส่งผลให้เกิดรอยด่างบริเวณที่เกิดกระเนื้อ และไม่ค่อยได้ผลดีกับกระเนื้อที่มีลักษณะนูน
- การขูดเอาเนื้อเยื่อที่เป็นกระเนื้อออกโดยใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เรียกว่า Curettage เพื่อให้ผิวหนังบริเวณนั้นบางหรือเรียบลง โดยอาจใช้ควบคู่กับวิธีการผ่าตัดด้วยความเย็นจัด หรือการจี้ด้วยไฟฟ้า
- การจี้ไฟฟ้า (Electrocautery) แพทย์จะทายาชาเฉพาะที่ก่อนใช้เครื่องจี้ไฟฟ้ากับผิวหนังบริเวณที่เกิดกระเนื้อ แพทย์อาจใช้วิธีนี้เพียงวิธีเดียวหรือทำควบคู่กับการขูดเอาเนื้อเยื่อออก หากทำไม่ถูกวิธีหรือแพทย์ที่ไม่ชำนาญอาจก่อให้เกิดรอยแผลเป็นตามมา และค่อนข้างใช้เวลานานกว่าวิธีการรักษาอื่น
- การรักษาด้วยเลเซอร์ (Ablative Laser Surgery) ซึ่งมีเลเซอร์อยู่หลายชนิดที่ช่วยให้กระเลือนลงได้
- การจี้ด้วยสารเคมี (Focal Chemical Peel) เช่น กรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic Acid)
ภาวะแทรกซ้อนของกระเนื้อ
กระเนื้อเป็นเนื้องอกผิวหนังชนิดไม่ร้ายแรง ส่วนมากจะส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอก ทำให้เกิดความวิตกกังวล อับอาย หรือเครียด บางรายอาจเกิดการระคายเคือง บวมอักเสบ ผิวแตกจนเป็นแผล มีเลือดออก รู้สึกไม่สบายตัว อาจมาจากตัวโรคเองหรือเป็นผลข้างเคียงหลังจากการรักษา
อย่างไรก็ตาม กระเนื้อที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากจนมีลักษณะคล้ายผื่นในบางกรณีอาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งผิวหนัง เนื้องอกชนิดอะดีโนคาซิโนมาในทางเดินอาหาร (Gastric Adenocarcinoma) หรือกลุ่มอาการที่เป็นผลจากโรคมะเร็ง (Paraneoplastic Syndrome) แต่พบได้น้อย จึงจำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรคให้ออกจากกัน เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี
การป้องกันกระเนื้อ
ยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดกระเนื้ออย่างแน่ชัด จึงป้องกันได้ยาก เพราะบางสาเหตุมีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้ นอกจากนั้นก็อาจลดความเสี่ยงได้โดยหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดด เช่น สวมเสื้อผ้าที่มิดชิดอย่างขายาว แขนยาว หรือหมวก หลีกเลี่ยงการตากแดดในช่วงเวลาประมาณ 10 โมงเช้าถึง 3 โมงเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่แดดแรง และทาครีมกันแดด ที่มี SPF 50 เป็นอย่างน้อย เพื่อปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด