ความหมาย ตามัว
ตามัว (Blurred Vision) คืออาการที่ดวงตาไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนและอาจเกิดขึ้นได้พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง โดยสาเหตุหลักอาจมีผลจากความผิดปกติของดวงตา ซึ่งสามารถรักษาได้โดยการสวมแว่นตา เช่น ภาวะสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง หรือสายตายาวตามอายุ เป็นต้น ทั้งยังอาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด หรือผลกระทบจากโรคอื่น เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคไมเกรน อาการตามัวอาจทำให้ดวงตาแดง ระคายเคืองและไวต่อแสง หรืออาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดศีรษะได้อีกด้วย
อาการของตามัว
ตามัวอาจส่งผลต่อการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมด เช่น หากกระทบต่อสายตาส่วนรอบ ก็จะทำให้การมองเห็นบริเวณรอบข้างพร่ามัวได้ ซึ่งอาจมีอาการต่าง ๆ แตกต่างกันตามสาเหตุดังต่อไปนี้
- มีขี้ตา มีน้ำตามาก หรืออาจมีเลือดออกจากดวงตา
- ตาแห้ง คันตา หรือเจ็บตา
- เห็นจุดหรือมีเส้นใยบาง ๆ ในดวงตา
- เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก
- อาการตากลัวแสงหรือไม่สู้แสง
- การมองเห็นไม่ชัดเจนในระยะใกล้ หรือในตอนกลางคืน
- สายตาส่วนกลาง หรือสายตาส่วนรอบเสียหาย
สัญญาณของอาการตามัวที่ควรพบแพทย์
ตามัวอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่น ๆ ซึ่งอาจคล้ายคลึงกับอาการที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง และอาจรุนแรงยิ่งขึ้นหากไม่ได้รับการรักษาที่ทันเวลา ผู้ป่วยจึงควรพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังต่อไปนี้
- เจ็บตามาก
- บริเวณตาขาวเริ่มเป็นสีแดง
- ปวดศีรษะมาก
- ใบหน้าบิดเบี้ยว
- พูดลำบากหรือติดขัด
- ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อข้างใดข้างหนึ่งได้
- มีปัญหาในการมองเห็น หรือสูญเสียการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมดชั่วคราว
สาเหตุของอาการตามัว
อาการตามัวอาจเกิดขึ้นได้จากทั้งปัญหาเกี่ยวกับดวงตาโดยตรง ผลกระทบจากโรคอื่น เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- ตาแห้ง หรือมีแผลบริเวณดวงตา
- การบาดเจ็บบริเวณดวงตา
- กระจกตาถลอก หรือรอยแผลเป็นบนกระจกตา
- จอตาติดเชื้อ
- โรคเส้นประสาทตาอักเสบ
- โรคจอประสาทตาเสื่อม ส่งผลโดยตรงต่อจอประสาท ซึ่งทำให้ความสามารถในการมองเห็นและการตอบสนองต่อแสงลดลง ผู้ป่วยจะค่อย ๆ สูญเสียการมองเห็นจนอาจทำให้ตาบอดได้
- ความผิดปกติของภาวะการหักเหของแสง สามารถรักษาได้โดยการสวมแว่นตา โดยแบ่งเป็น
- มองเห็นระยะใกล้ชัดเจน มักเกิดขึ้นกับทุกวัย โดยเป็นผลจากการเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อย ๆ จนกว่าสภาวะการเจริญเติบโตของดวงตาจะคงที่
- มองเห็นระยะไกลชัดเจน อาจเกิดขึ้นได้ในเด็กบางคนโดยเป็นผลจากกรรมพันธุ์ แต่อาการอาจดีขึ้นได้เองเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
- ภาวะสายตายาวตามอายุ ส่งผลให้ความสามารถในการโฟกัสลดลง
- โรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ (Age-related Macular Degeneration: AMD) คือสาเหตุทั่วไปของอาการตามัวในผู้สูงอายุ โดยเกิดจากการเสื่อมของจุดรับภาพบริเวณส่วนกลาง และจอประสาทตาที่จุดกึ่งกลางของกระจกตา ซึ่งมีหน้าที่สำคัญต่อการมองเห็น
- คอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาดหรือเสียหายอาจทำให้เกิดอาการตามัวได้
- โรคต้อหิน แรงดันในดวงตาที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้เส้นประสาทตาเสียหายและก่อให้เกิดโรคต้อหินได้
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคต้อกระจก ส่งผลให้เลนส์ตาขุ่นมัวได้
- โรคไมเกรน ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการตามัวก่อนที่อาการไมเกรนจะเริ่มต้นขึ้น
- ภาวะเบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy) ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีอาการตามัวได้หากระดับน้ำตาลไม่คงที่
- อาหารเสริมหรือยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด คอร์ติโซน (Cortisone) ยารักษาโรคหัวใจ ยากลุ่ม Anticholinergics ยาต้านภาวะซึมเศร้า หรือยาลดความดัน เป็นต้น
การวินิจฉัยอาการตามัว
แพทย์หรือจักษุแพทย์อาจเริ่มต้นกระบวนการวินิจฉัยด้วยการสอบถามเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้น โดยอาจรวมไปถึงประวัติความผิดปกติหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับดวงตาในครอบครัวของผู้ป่วย แล้วจึงเริ่มทดสอบความสามารถในการมองเห็นของผู้ป่วย ซึ่งอาจมีวิธีการดังต่อไปนี้
- การใช้ Slit-lamp หรือกล้องจุลทรรศน์สำหรับตรวจตาชนิดลำแสงแคบ แพทย์จะขอให้ผู้ป่วยวางคางลงบนกล้องจุลทรรศน์ และตรวจดูโครงสร้างของดวงตา ซึ่งช่วยให้ทราบว่าดวงตาสามารถทำงานหรือตอบสนองได้อย่างเหมาะสมหรือไม่ แพทย์อาจใช้ยาชาหยอดตา และยาหยอดตาที่มีสี เพื่อตรวจดูความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับกระจกตา และยังช่วยในการวัดความดันลูกตา
- การตรวจสายตา แพทย์อาจใช้เครื่องวัดสายตาหรือแผ่นวัดสายตา โดยขอให้ผู้ป่วยอ่านตัวอักษรหรือตัวเลขบนแผ่นวัดสายตา เพื่อตรวจสอบว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องสวมแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์เพื่อแก้ไขความผิดปกติของดวงตาหรือไม่
- การตรวจความดันลูกตา แพทย์จะตรวจวัดความดันลูกตาโดยใช้ยาหยอดตาและเครื่องวัดความดันลูกตา โดยผู้ป่วยต้องเบิกตาให้กว้างขึ้นและหายใจตามปกติระหว่างการวินิจฉัย บางกรณี แพทย์อาจใช้เครื่องตรวจวัดความดันภายในลูกตาในการวินิจฉัย
- การตรวจเลือด ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อนับปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว หรือตรวจสอบแบคทีเรียในกระแสเลือด กรณีที่อาการตามัวมีความรุนแรงจนอาจติดเชื้อได้
การรักษาอาการตามัว
ผู้ป่วยควรพบแพทย์หากมีอาการตามัวเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งอาจมีวิธีต่างกันไปตามสาเหตุของการเกิดอาการหรือข้อจำกัดต่าง ๆ ในแต่ละคน เช่น
- การสวมแว่นตา ผู้ป่วยอาจต้องใส่แว่นตาเพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น
- การรักษาแบบโมโนวิชั่น (Monovision) หรือเบลนด์วิชั่น (Blended Vision) ความสามารถในการมองเห็นของดวงตา 2 ข้างมักมีความแตกต่างและเสื่อมโทรมตามระยะเวลาที่ต่างกัน ผู้ป่วยอาจเลือกใส่คอนแทคเลนส์ที่มีค่าสายตาต่างกันเพื่อช่วยให้ประสาทตาสามารถปรับระยะโฟกัสของการมองเห็นทั้งในระยะใกล้และไกลได้ โดยใส่คอนแทคเลนส์สำหรับการมองเห็นระยะไกลข้างหนึ่ง และระยะใกล้อีกข้างหนึ่ง
- เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด อาการตามัวอาจเกิดขึ้นจากระดับน้ำตาลลดลง ผู้ป่วยจึงอาจต้องรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลที่ออกฤทธิ์เร็ว เช่น ลูกอม น้ำผลไม้ หรือกลูโคสอัดเม็ด เป็นต้น
- การผ่าตัด หากอาการตามัวเกิดจากโรคต้อกระจก การผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนเลนส์ตาอาจมีความจำเป็น
การป้องกันอาการตามัว
วิธีการป้องกันการเกิดอาการตามัวมีดังต่อไปนี้
- สวมแว่นกันแดดตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่แจ้ง หรือแว่นตาป้องกันขณะทำงานในบริเวณที่มีสารเคมีหรือฝุ่นละออง เช่น การทาสี หรือการซ่อมบ้าน เป็นต้น
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา เช่นผักใบเขียว ผักสีม่วง หรือเนื้อปลา ซึ่งมีส่วนประกอบของกรดไขมันโอเมก้า 3
- งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง
- ล้างมือให้สะอาดก่อนใส่หรือถอดคอนแทคเลนส์ เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ และทำความสะอาดแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อยู่เสมอ เนื่องจากคราบไขมันหรือสิ่งสกปรกอาจเกาะอยู่บนเลนส์และทำให้เกิดอาการตามัวได้ ทั้งยังควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับน้ำยาแช่หรือล้างคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมกับเลนส์แต่ละประเภท
- กรณีที่เข้ารับการตรวจตาและไม่พบความผิดปกติ ผู้ป่วยอาจใช้ยาหยอดตาเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้กับดวงตาได้ โดยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเพื่อความปลอดภัย
- การตรวจตาเป็นประจำอาจช่วยป้องกันปัญหาความผิดปกติของดวงตาที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยระยะเวลาที่ควรเข้ารับการตรวจ คือ
- เด็กอายุ 0-6 ปี ควรเข้ารับการตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- เด็กอายุ 6-18 ปี ควรเข้ารับการตรวจทุก ๆ 2-4 ปี
- ผู้มีอายุ 19-39 ปี ควรเข้ารับการตรวจทุก ๆ 3-5 ปี
- ผู้มีอายุ 40-64 ปี ควรเข้ารับการตรวจทุก ๆ 2-4 ปี
- ผู้มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจทุก ๆ 1-2 ปี
ทั้งนี้ ผู้ที่มีประวัติการมีโรคเกี่ยวกับดวงตาในครอบครัว ผู้ป่วยที่มีอายุสูงกว่า 65 ปี มีโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ควรเข้ารับการตรวจดวงตาเป็นประจำ