ตาเข

ความหมาย ตาเข

ตาเข (Strabismus/Squint) หรือตาเหล่ เป็นปัญหาทางสายตาที่เกิดจากดวงตาทั้ง 2 ข้างไม่มองไปในทิศทางเดียว ข้างใดข้างหนึ่งอาจมองตรง ส่วนอีกข้างอาจจะเฉไปด้านใน ด้านข้าง บน หรือล่าง โดยพบได้บ่อยในเด็กเล็ก เกิดได้กับทุกวัย

525 StrabismusRe

ตาเขแบ่งออกได้หลายแบบ ดังนี้

  • แบ่งตามทิศทางการเข เช่น ตาเขเข้าด้านใน (Esotropia) ตาเขออกด้านนอก (Exotropia) ตาเขขึ้นบน (Hypertropia) ตาเขลงล่าง (Hypotropia)  
  • ตาเขที่เป็นตลอดเวลา (Constant Strabismus) หรือเป็นบางเวลา (Intermittent Strabismus)
  • ตาเขชนิดเห็นได้ชัด (Manifest Strabismus)มองเห็นลักษณะการเขของดวงตาได้ชัดเจน หรือตาเขชนิดแอบแฝง (Latent Strabismus) ดวงตาเป็นปกติเวลาลืมตา แต่จะมีอาการตาเขเมื่อหลับตาอีกข้าง
  • การแบ่งตามมุมเบี่ยงเบนของตาในทิศทางต่าง ๆ เมื่อมีการกลอกตา บางรายเป็นตาเขประเภทที่เรียกว่า Concomitant Strabismus คือ ดวงตามีมุมเบี่ยงเบนเกิดขึ้นเท่า ๆ กันในทุกทิศทางของการกลอกตา และอีกแบบเรียกว่า Incomitant Strabismus ซึ่งดวงตาจะมีมุมเบี่ยงเบนของตาแตกต่างกันไปในแต่ละทิศทาง เช่น เมื่อกลอกตาไปทางซ้าย อาจไม่พบอาการตาเข แต่เมื่อกลอกตาไปทางขวา กล้ามเนื้อตาของดวงตาข้างใดข้างหนึ่งไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เท่าอีกข้าง ทำให้ดวงตาไม่อยู่ในตำแหน่งปกติ
  • แบ่งตามอายุ ตาเขทั่วไปมักพบได้ในช่วง 3 ปีแรกของการเกิด แต่บางรายอาจพัฒนาขึ้นในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ โดยสาเหตุการเกิดของวัยเด็กและผู้ใหญ่จะมีความแตกต่างกัน
อาการตาเข

ตาเขในแต่ละบุคคลจะไม่เหมือนกัน บางรายอาจมีอาการตลอดเวลาหรือเกิดขึ้นชั่วคราว โดยอาการที่มักพบได้บ่อยมีดังนี้

  • มองเห็นภาพซ้อน ตามัว มองไม่ชัด
  • เมื่อยตา ตาล้า
  • ดวงตาไม่มองในทางเดียวกัน
  • การเคลื่อนที่ของดวงตาไม่ไปพร้อมกัน
  • การคาดคะเนระยะหรือวัดความห่างระหว่างวัตถุกับสิ่งอื่น ๆ ทำได้ยาก
  • สูญเสียการมองเห็น
การสังเกตอาจทำได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะในทารกและเด็กเล็ก ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดตาเขมากกว่าวัยผู้ใหญ่ และตัวเด็กเองก็อาจแยกไม่ออกว่าเกิดอาการกับดวงตาหรือไม่ ยกเว้นในกรณีที่มองเห็นความผิดปกติจากดวงตาได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในทารกอายุน้อยกว่า 3 เดือนมักเป็นเรื่องปกติที่พบอาการตาเขเป็นครั้งคราว เนื่องจากกล้ามเนื้อดวงตายังไม่แข็งแรง พ่อแม่จึงควรหมั่นสังเกตอาการของเด็กเป็นระยะ และขอคำแนะนำจากแพทย์หากทารกอายุมากกว่า 3 เดือนยังคงมีอาการตาเขเป็นครั้งคราวหรือเป็นตลอดเวลา เด็กบางคนอาจพยายามเอียงศีรษะหรือเหล่ตาเวลามอง ซึ่งอาจพัฒนาอาการตาเขหรือมองเห็นภาพซ้อนเมื่อโตขึ้น

กรณีที่พบความผิดปกติในการมองเห็น ปัญหาทางสายตาอื่น ๆ หรือสังเกตเห็นว่าตำแหน่งดวงตาผิดเพี้ยนไป ควรไปพบแพทย์ ซึ่งการตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและพัฒนาการทางด้านสายตาเป็นไปตามวัย

สาเหตุของตาเข

ตาเขยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด บางรายมีอาการตาเขตั้งแต่กำเนิดหรืออาจพัฒนาขึ้นในช่วงหลัง โดยพบว่าอาการนี้ถ่ายทอดผ่านทางกรรมพันธุ์และอาจมีหลายปัจจัยกระตุ้นให้เกิด ได้แก่

ตาเขแต่กำเนิด (Congenital Strabismus) จะเกิดกับทารกแรกคลอดหรืออาจพัฒนาอาการขึ้นภายใน 6 เดือนหลังคลอด เนื่องจากกล้ามเนื้อตาทำงานไม่ประสานกัน ส่วนใหญ่จะเป็นตาเขเข้าด้านใน (Congenital Esotropia/Infantile Esotropia) และตาเขออกด้านนอก (Congenital Exotropia) อาการที่พบได้น้อยจะเป็นตาเขขึ้นบนหรือลงล่าง ซึ่งตาเขในลักษณะนี้ถ่ายทอดผ่านทางกรรมพันธุ์ได้ แต่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

ตาเขที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางสายตา (Strabismus Related To Refractive Errors) อาจเป็นไปได้ทั้งสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง ซึ่งเป็นผลมาจากการหักเหของแสงที่ส่องผ่านแก้วตาผิดปกติ

สาเหตุอื่น ๆ ในบางกรณีอาจพบอาการตาเขได้จากปัจจัยอื่น

  • สภาวะทางสมองหรือทางพันธุกรรมที่อาจเป็นสาเหตุของอาการตาเข เช่น เด็กที่เป็นโรคสมองพิการ (Cerebral Palsy) กลุ่มอาการนูแนน (Noonan's Syndrome) กลุ่มอาการดาวน์ (Down's Syndrome) ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (Hydrocephalus) การได้รับบาดเจ็บของสมองหรือมีเนื้องอก หรือบางภาวะที่พบได้น้อยอย่างโรคมะเร็งจอตาในเด็ก (Retinoblastoma) ก็อาจนำไปสู่อาการตาเขได้เช่นกัน
  • การติดเชื้อบางอย่าง เช่น โรคหัด ไซนัสอักเสบ
  • ความบกพร่องทางพัฒนาการ
  • ตาเขในผู้ใหญ่อาจเกิดได้จากโรคโบทูลิซึม (Botulism) ที่เป็นความผิดปกติทางระบบประสาท โรคเบาหวาน ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อตาน้อยลง โรคเกรวฟส์ (Graves Disease) จากความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré Syndrome) การได้รับบาดเจ็บทางดวงตา พิษจากการกินอาหารทะเลประเภทหอย โรคหลอดเลือดสมอง การบาดเจ็บทางสมองอย่างรุนแรง สูญเสียการมองเห็นจากโรคทางตาหรือได้รับการบาดเจ็บบริเวณดวงตา
การวินิจฉัยตาเข

เมื่อแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีอาการตาเข เบื้องต้นแพทย์จะตรวจการมองเห็นของสายตาว่ามองไปในทิศทางเดียวพร้อมกันหรือไม่ โดยให้มองสิ่งของโดยปิดตาข้างใดข้างหนึ่งไว้และลืมตามองปกติ เพื่อดูการเคลื่อนไหวของดวงตาในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน (Cover/Uncover Test) ทำให้แพทย์ทราบได้ว่าผู้ป่วยมีความผิดปกติของการมองเห็นในลักษณะใดและยังช่วยตรวจพบภาวะตาขี้เกียจ (Amblyopia/Lazy Eye)  ซึ่งมักพบได้บ่อยในเด็กที่มีอาการตาเข จากนั้นจะเป็นการตรวจสายตาอย่างละเอียด (Standard Ophthalmic Exam) เริ่มตรวจได้ทุกวัยตั้งแต่เด็กทารก

นอกจากนี้ แพทย์จะตรวจร่างกายพื้นฐานทางจักษุวิทยาด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมตามความเสี่ยงและอาการที่พบของผู้ป่วย เช่น การตรวจรีเฟล็กซ์กระจกตา (Corneal Light Reflex) การตรวจจอประสาทตา (Retinal Exam) การวัดสายตา (Visual Acuity Test)  รวมไปถึงมีการตรวจทางด้านสมองหรือระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกันในบางราย

การรักษาตาเข

ตาเขรักษาได้หลายวิธี หากตรวจพบและรักษาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ โดยเฉพาะในช่วงอายุไม่เกิน 8 ปี จะมีโอกาสหายเป็นปกติได้สูงกว่าวัยผู้ใหญ่ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการพัฒนาของดวงตาและสมอง ซึ่งแนวทางในการรักษาอาจใช้หลายวิธีควบคู่กัน ดังนี้

 

  • สวมแว่นสายตา จะช่วยแก้ไขปัญหาสายตาของผู้ที่มีอาการตาเขจากภาวะความผิดปกติทางสายตาในระดับปานกลาง เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ทำให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนและกระตุ้นให้ดวงตากลับมาอยู่ในตำแหน่งปกติ
 
  • ใส่ที่ครอบตา ใช้รักษาผู้ที่มีภาวะตาขี้เกียจจากอาการตาเข โดยแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยสวมที่ครอบตากับดวงตาข้างที่เป็นปกติในระยะเวลาสั้น ๆ ในแต่ละวันหรือตลอดทั้งวันในช่วงเวลาที่ใช้งานดวงตา เพื่อช่วยกระตุ้นให้ดวงตาอีกข้างที่เกิดตาขี้เกียจได้ทำงาน แต่ไม่ได้ช่วยให้ตำแหน่งของดวงตาที่เขออกไปกลับมาเป็นปกติ ซึ่งผู้ป่วยอาจต้องสวมที่ครอบตาติดต่อเป็นสัปดาห์หรือนานเป็นเดือนตามสถานการณ์ของแต่ละคน
  • การบริหารดวงตา เป็นการฝึกกล้ามเนื้อตาที่ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของดวงตา เพื่อช่วยให้ทำงานของดวงตาทั้ง 2 ข้างประสานงานกันได้ดี
 
  • การผ่าตัด เมื่อการรักษาทั่วไปไม่ช่วยให้ตำแหน่งของสายตากลับมาเป็นปกติและอาการรุนแรงขึ้นแพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดกล้ามเนื้อดวงตา เพื่อช่วยให้ดวงตาทำงานได้เป็นปกติและแก้ไขตำแหน่งของดวงตา แต่ในผู้ป่วยที่เกิดตาขี้เกียจหรือสูญเสียการมองเห็นร่วมด้วยจะต้องรักษาอาการเหล่านี้ก่อนผ่าตัด เพราะการผ่าตัดอาจช่วยแก้ไขตาเขให้กลับมาเป็นปกติ แต่ไม่สามารถแก้ไขความผิดปกติของสมองในส่วนการรับรู้การมองเห็นหากอาการตาเขไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เด็ก ๆ
  • การฉีดยา เป็นการรักษาตาเขบางประเภท เช่น ตาเขเข้าด้านใน โดยแพทย์จะฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) ซึ่งเป็นสารที่ลดการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ โดยฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อตาที่เป็นสาเหตุให้ตาเข ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว วิธีนี้มักใช้เป็นอีกทางเลือกของการรักษาอาการตาเข โดยสามารถช่วยบรรเทาอาการชั่วคราวได้นาน 1-3 เดือน
ภาวะแทรกซ้อนของตาเข

การปล่อยให้เกิดอาการตาเขจะส่งผลให้รูปลักษณ์ภายนอกดูไม่สวยงาม เกิดความอับอาย และอาจนำไปสู่ปัญหาความผิดปกติของการมองเห็นหากปล่อยให้เป็นเรื้อรังโดยไม่รักษาให้หายขาด เช่น การมองเห็นภาพซ้อน ตามัวอย่างถาวร ภาวะตาขี้เกียจที่เกิดจากสมองไม่สั่งการดวงตาข้างที่ตาเข เนื่องจากถูกใช้งานน้อยกว่าข้างที่แข็งแรง จึงทำให้ดวงตาข้างนั้นไม่ถูกพัฒนาไปตามวัย หรือสูญเสียการมองเห็นถาวร นอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการตาเขมาเป็นระยะเวลานานอาจรักษาได้ยากมากขึ้น และการผ่าตัดอาจจะช่วยได้เฉพาะการปรับตำแหน่งดวงตาให้กลับมาเป็นปกติ แต่อาจพบปัญหาในการมองเห็นเช่นเดิม

การป้องกันตาเข

การตรวจสายตาอย่างสม่ำเสมอเป็นการป้องกันอาการตาเขได้ดีที่สุด โดยเฉพาะเด็กอายุระหว่าง 3-5 ปี เนื่องจากการตรวจพบและรักษาตั้งแต่อายุยังน้อยจะมีโอกาสให้ดวงตากลับมาใช้งานได้เป็นปกติ ช่วยแก้ไขตำแหน่งดวงตาและการกะระยะของการมองเห็นให้ใกล้เคียงกับคนทั่วไป บางรายอาจหายเป็นปกติ