มีเสียงในหูมา 1ปี เสียงดังมาก นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย หน้ามึด ใจสั่น และมีอาการท้องอืดร่วมด้วย

สวัสดีค่ะ คุณ Chonticha Pengpron,

                     อาการเสียงในหู (tinnitus) หรือหูอื้อ หมายถึง การได้ยินของเสียงลดลง ความคมชัดของเสียงลดลง หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรอุดหูอยู่ หรือรู้สึกมีเสียงดังในหู ซึ่งอาจเป็นเสียงแหลม หรือเสียงตื้อ หรือเสียงตุบๆ โดยอาจเกิดขึ้นเพียงข้างเดียวหรือพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง ซึ่งสาเหตุของอาการหูอื้อ อาจเแบ่งได้ดังนี้

                    - มีเสียงแหลมวี้ดๆ  ในหู จะเกิดจากความเสื่อมของหูชั้นใน จากอายุที่มากขึ้น หรือจากการรับฟังเสียงดังเป็นเวลานานๆ หรือจากการได้ยินเสียงดังมาก ในทันที เช่น เสียงระเบิด หรือจากการใช้ยาบางอย่างที่มีผลข้างเคียงต่อประสาทหู หรือเกิดจากมีเนื้องอกของเส้นประสาทหู

                  - มีเสียงหึ่งๆ อื้อ ๆ มักเกิดจากโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ร่วมกับอาการเวียนหัวบ้านหมุนและการได้ยินลดลง

                 - มีเสียงลมในหู หรือได้ยินเสียงของร่างกายชัดกว่าปกติ เกิดจากการทำงานของท่อปรับความดันหูผิดปกติ เช่น เป็นโรคภูมิแพ้  อาการมักเป็นๆหายๆ มักเป็นมากเวลาขึ้นที่สูง ขึ้นเครื่องบิน หรือดำน้ำ หรืออาจเกิดจากเป็นโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก 

                 - มีเสียงก้องในหู เกิดจากการมีน้ำขังในหูชั้นกลาง

                 - เสียงตุบ ๆ หรือเสียงฟู่ ๆ ที่ดังตามจังหวะการเต้นของชีพจร อาจเกิดจากเนื้องอกในช่องหู หรืออาจเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด ซึ่งเป็นภาวะบางอย่างที่ทำให้เลือดในร่างกายเพิ่มขึ้นและหัวใจต้องบีบตัวแรงขึ้นจนส่งผลให้เกิดเสียงดังในหู เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ, หลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอตีบ หัวใจรั่ว เป็นต้น

                   สาเหตุอื่นๆ นอกจากนี้ ได้แก่ การดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ โกโก้ การมีความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า เป็นต้น 

                   ทั้งนี้ หากเป็นมานาน 1 ปีแล้ว และส่งผลทำให้นอนไม่หลับ กลางวันเพลีย และมีหน้ามืด ใจสั่น (ซึ่งก็น่าจะเกิดจากการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ) แนะนำให้ไปพบแพทย์เฉพาะทางหู-คอ-จมูกเพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษา การรักษาก็จะขึ้นอยู่กับสาเหตุค่ะ

                   ส่วนอาการท้องอืด ไม่สบายท้อง อาจเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับการมีเสียงดังในหูก็ได้ โดยการมีเสียงดังใหู ที่ทำให้นอนไม่หลับ จนร่างกายเกิดความเครียด อาจส่งผลทำให้ระบบการย่อยอาหารผิดปกติไป และเกิดอาการท้องอืดตามมาได้ 

                   ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการท้องอืดนั้น มีมากมาย ได้แก่ การกลืนอากาศเข้าไปปริมาณมาก จากการอ้าปาก พูดคุย หัวเราะ หรือหายใจทางปากการทานอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สหรือเครื่องดื่มที่มีแก๊ส เช่น น้ำอัดลม ถั่ว เมล็ดธัญพืชต่างๆ มากเกินไป มีโรคกระเพาะอาหารอักเสบ มีนิ่วในถุงน้ำดี มีท้องผูก . ขาดน้ำย่อยอาหารบางชนิด เช่น น้ำย่อยย่อยโปรตีนนม เป็นผลจากการทานยาบางชนิด มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงก่อนมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ เป็นต้น

                 หากอาการท้องอืด ไม่สบายท้องเป็นต่อเนื่อง ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาเช่นกันค่ะ