-
ปวดหัวข้างเดียวแล้วลามมาที่ดวงตา จ้องแสงมากๆจะเกิดวงกลมซ่าๆ ต้องเรียนออนไลน์ผ่านทางโทรศัพท์ทุกวัน ควรพบแพทย์ไหม
-
Aug 08, 2022 at 01:44 PM
มีอาการปวดหัวข้างเดียวแล้วลามมาที่ดวงตา พอจ้องแสงมากๆจะเกิดวงกลมซ่าๆที่รอบดวงตา ซึ่งมันส่งผลต่อชีวิตประจำวันคือต้องเรียนออนไลน์ผ่านทางโทรศัพท์ทุกวันแบบนี้ต้องรีบพบแพทย์หรือว่าแค่ซื้อยามาทานตามอาการคะ
Aug 08, 2022 at 02:35 PM
สวัสดีค่ะ คุณ KOII JAI,
อาการปวดหัว เกิดได้จากหลายสาเหตุ แบ่งออกเป็น
1. อาการปวดศีรษะแบบทุติยภูมิ เป็นอาการปวดมาจากโรค หรือมีสาเหตุที่ชัดเจน ซึ่งสาเหตุ ได้แก่
- การเป็นไข้ติดเชื้อโรคต่างๆ เช่น ไข้หวัด ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ ไข้เลือดออก รวมถึงโควิด 19 เป็นต้น
- มีฟันผุ เหงือกอักเสบ
- โรคของตา เช่น โรคต้อหิน มีสายตาสั้น รวมถึงการใช้สายตามากไป การจ้องโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์มากไป เป็นต้น
- โรคทางสมอง เช่น หลอดเลือดในสมองโป่งพอง เนื้องอกในสมอง เป็นต้น
- ร่างกายขาดน้ำ
- การดื่มคาเฟอีน หรือขาดคาเฟอีนในผุ้ที่ดื่มเป็นประจำ การดื่มแอลกอฮอล์มากไป
- การนอนไม่หลับ
2. อาการปวดศีรษะแบบปฐมภูมิ เป็นอาการปวดที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด อาการจะเป็นแบบเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ไม่ได้มีลักษณะที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสามารถแบ่งตามอาการที่ปวด ได้แก่
- ปวดศีรษะจากความเครียด (tension-type headache) จะปวดเหมือนมีเข็มขัดรัดรอบศีรษะ อาการปวดจะเป็นมากในช่วงบายถึงค่ำ ส่วนตอนเช้ามาอาการปวดจะเป็นน้อย อาการปวดจะถูกกระตุ้นเมื่อมีความเครียด วิตกกังวล ทำงานหนัก เรียนหนัก ใช้สายตามากไป อดนอน เป็นต้น
- ปวดศีรษะไมเกรน ส่วนใหญ่มักจะปวดข้างเดียว อาการปวดเป็นแบบตุ๊บๆ โดยส่วนใหญ่จะปวดต่อเนื่องนาน 1-3 วันแล้วหายไป ขณะปวดอาจมีอาการอื่นๆ ร่วม เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร มึนหัว เป็นต้น บางรายจะมีอาการนำมาก่อนปวดศีรษะ เช่น เห็นแสงสว่างลักษณะซิกแซก เป็นต้น ปัจจัยที่กระตุ้นให้ไมเกรนกำเริบ เช่น ความเครียด ช่วงมีประจำเดือน อาหารบางอย่าง เป็นต้น
- ปวดศีรษะคลัสเตอร์ (cluster headache) เป็นอาการปวดศีรษะข้างเดียวแบบรุนแรง โดยจะมีอาการเพียงไม่กี่ชั่วโมงแล้วหายไป และปวดขึ้นมาอีกเป็นระยะๆ มักมีอาการตาแดง น้ำตาไหล น้ำมูกไหล หนังตากตกร่วมด้วย
หากอาการปวดหัวเพิ่งเป็นมาไม่นาน ไม่ได้ปวดเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มาก่อน ก็น่าจะเป็นปวดศีรษะแบบทุติยภูมิได้ โดยหากมีประวัติว่าต้องเรียนออนไลน์ทุกวัน จ้องมือถือตลอดเวลา ก็น่าจะเป็นสาเหตุได้ ซึ่งการใช้สายตาดูโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น อาการปวดตาหรือปวดรอบดวงตา ตาพร่ามัว แสบตา ปวดศีรษะ มึนหัว ปวดคอ ปวดหลัง เมื่อยไหล่ โดยรวมเรียกว่า computer vision syndrome
ดังนั้น ในเบื้องต้น ก็ไม่ควรใช้สายตาดูโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยควรใช้หลัก 20-20-20 คือทุกๆ 20 นาที ให้พักสายตาจากคอมพิวเตอร์หรือมือถือ 20 วินาที และมองสิ่งที่อยู่ไกลๆ มากกว่า 20 ฟุต โดยไม่ต้องเพ่งมอง บริหารดวงตาด้วยการกลอกตาไปมาบ่อยๆ หากเริ่มเห็นแสงอะไรผิดปกติ หรือปวดหัว ให้รีบพักการใช้สายตา และอาจใช้น้ำตาเทียมช่วย จัดตำแหน่งการมองที่เหมาะสม โดยควรให้จอคอมพิเตอร์หรือมือถืออยู่ห่างสายตามากกว่า 45 เซนติเมตร จออยู่ต่ำกว่าระดับสายตาเล็กน้อย มีแสงสว่างส่องเข้ามาทางด้านหลังพอเพียง ปรับแสงสว่างจากจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือไม่ให้สว่างมากเกินไป ห้ามปิดไฟ หรือใช้คอมพิเตอร์และมือถือในที่มืด หมั่นกระพริบตาบ่อยๆ รวมถึงเปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ พยายามใช้คอมพิวเตอร์และมือถือเมื่อจำเป็นเท่านั้น นอกจากนี้ ก็ควรดื่มน้ำเปล่าๆ มาก เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนต่างๆ และแอลกอฮอล์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากต้องออกกลางแจ้ง ควรสวมแว่นกันแดด เป็นต้น
ส่วนอาการปวดหัว ควรทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล โดยอาจทานร่วมกับไอบูโพรเฟน หากทานยาเพียงชนิดเดียวแล้วไม่ดีขึ้น
แต่หากอาการปวดหัวไม่ดีขึ้น หรือมีการมองเห้นภาพที่ผิดปกติไป เช่น มองเห็นภาพพร่ามัว ไม่ชัด ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาค่ะ
-
ถามแพทย์
-
ปวดหัวข้างเดียวแล้วลามมาที่ดวงตา จ้องแสงมากๆจะเกิดวงกลมซ่าๆ ต้องเรียนออนไลน์ผ่านทางโทรศัพท์ทุกวัน ควรพบแพทย์ไหม