-
การตรวจโรคเริม และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ทำไมต้องตรวจซ้ำ
-
Aug 13, 2019 at 08:44 PM
อาทิตย์ที่แล้วไปหาหมอเนื่องจากเป็นเริม แต่หมอให้ตรวจ HIV ด้วย (ผลตรวจไม่พบเชื้อ HIV หรือเชื้ออื่น) หมอเลยให้ยามากิน และนัดตรวจอีกสัปดาห์หน้า (คือวันนี้) ผลคือเริมหายตกสะเก็ดแล้ว วันนี้ไปพบหมอ หมอนัดให้มาตรวจเลือดอีก 3 เดือน จึงอยากทราบประเมินสถานการคร่าวๆ ว่า จะพบเชื้อไหม โดยมีปัจจัยหลักให้ลองพิจารณา ดังนี้
- เลิกกับแฟนเก่าไปได้ 4 เดือน (คบกันมา 3 ปีกว่า) หากนับถึงวันที่จะต้องตรวจเลือด เดือน พ.ย. ก็ประมาณ 7 เดือน
- เพิ่งมีเพศสัมพันธ์กับแฟนใหม่ได้ประมาณ 20 วัน (ก่อนเป็นเริม) ช่วงเดือน ก.ค.
โอกาสพบเชื้อ HIV, ซิฟิริส และ/หรือเชื้ออื่น ๆ มากน้อยแค่ไหนครับ
ส่วนตัวคิดถ้าจะติดเชื้อ HIV คงติดนานแล้ว เพราะคบกับแฟนเก่ามาหลายปี อาการคงต้องออกบ้างแล้ว ผลตรวจล่าสุดคือไม่พบ แต่เป็นเริม จึงไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลที่ต้องตรวจซ้ำอีก
ปล.สาเหตุของการเป็นเริม นอกจากเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ มีอย่างอื่นอีกด้วยหรือไม่ครับ
Aug 13, 2019 at 09:25 PM
สวัสดีค่ะคุณ CPiemras
เริมนั้นเป็นการติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากการสัมผัสหรือการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นหากมีการจูบ หรือมีการสัมผัสของสารคัดหลั่งที่อวัยวะเพศก็มีโอกาสติดได้
โดยปกติแล้ว หากแพทย์พบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคใดโรคหนึ่ง ก็มักจะคัดกรองหาโรคอื่นๆให้ไปด้วย เพราะโรคเหล่านี้มักจะมาด้วยกันค่ะ
โดยการตรวจว่าเป็น hiv หรือไม่นั้น อธิบายคร่าวๆคือ
1.ตรวจเชื้อ hiv เองเลย อันนี้จะตรวจยากและมีค่าใช้จ่ายสูง ผลแน่นอนภายใน 7-10 วันหลังมีความเสี่ยง
2.ตรวจภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ hiv ให้ผลแน่นอนมากกว่า 99% ที่ 3 เดือน ถ้าตรวจที่ช่วง 1 เดือนในบางคนภูมิต่อเชื้ออาจจะยังไม่ขึ้น
3. ตรวจภูมิคุ้มกัน hiv กับเชื้อไปร่วมกัน จะให้ผลที่แน่นอนที่ประมาณ 14-21 วันหลังมีความเสี่ยง
ดังนั้นหากเพิ่งมีเพศสัมพันธ์กับแฟนคนใหม่มาประมาณ 20 วันก็มีโอกาสจะตรวจเจอได้ แต่แพทย์อาจนัดกลับไปยืนยันที่ 3 เดือนอีกครั้ง
แนะนำกลับไปฟังผลเลือด และตรวจเลือดและตรวจปัสสาวะอื่นๆตามที่แพทย์เห็นสมควรค่ะ
-
ถามแพทย์
-
การตรวจโรคเริม และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ทำไมต้องตรวจซ้ำ