ถามแพทย์

  • อยากฉีดยาคุมกำเนิด ควรเริ่มเมื่อไหร่ ป้องกันได้แค่ไหน นานๆ จะมีเพศสัมพันธ์กัน อยากฉีดยาคุมกำเนิด ควรเริ่มเมื่อไหร่ ป้องกันได้แค่ไหน นานๆ จะมีเพศสัมพันธ์กัน

  •  drchnk
    สมาชิก
    หมอคะสอบถามเรื่องการฉีดยาคุมกำเนิดหน่อยค่ะ คืออยากฉีดยาคุมกำเนิด ต้องฉีดยังไง ช่วงเวลาไหน ระยะการคุมกำเนิดเริ่มหลังจากฉีดยากี่วัน มีโอกาสท้องมั้ยหากมีอะไรโดยไม่ใช่ถุงยาง ปกติใส่ถุงยางอนามัยมาตลอดช่วง3ปี เรียนจบ แยกกันเรียนแฟนไปเรียนต่างจังหวัด นานๆเจอกันในช่วงวันหยุด แต่แฟนอยากมีอะไรด้วยโดยไม่ใส่ถุงยางให้กินยาคุมฉุกเฉินแทน แต่หนูไม่โอเคที่จะทานยาคุมฉุกเฉิน แบบฉีดยาคุมกำเนินจะดีกว่ามั้ย มีโอกาสตั้งครรภ์สูงมั้ย

     สวัสดีค่ะ คุณ drchnk,

                      หากนานๆ ครั้งจึงจะมีเพศสัมพันธ์ การใช้ถุงยางอนามัยก็ถือว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยและประหยัดที่สุด แต่หากไม่มั่นใจในประสิทธิภาพ (ซึ่งจะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ประมาณ 2%-18%) หรือไม่สะดวกใช้ อาจเลือกทานยาคุมกำเนิด ฉีดยาคุมกำเนิด หรือฝังยาคุมกำเนิดก็ได้

                   ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหน ทั้งการกินยาคุมกำเนิด ฉีดยาคุมกำเนิด หรือฝังยาคุมกำเนิด  ให้เริ่มทานหรือฉีดภายใน 1-5 วัน นับตั้งแต่วันแรกที่มีประจำเดือนมาค่ะ ยาจึงจะคจะออกฤทธิ์ในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ภายใน 24 ชั่วโมง หากฉีดหรือทานในวันอื่นๆนอกเหนือจากนี้ ยาจะยังไม่สามารถออกฤทธิ์ในการป้องการตั้งครรภ์ได้ทันที ต้องรออย่างน้อย 7 ก่อน โดยในช่วง 7 วันหลังจากฉีดยาหรือทานยาไปจึงควรงดการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้ถุงยางอนามัยป้องกันไปก่อน

                      หากเลือกฉีดยาคุมกำเนิด จะมี 2 แบบคือ

                         1. ยาฉีดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อยคือ

                             - ยาที่เป็นฮอร์โมน เมดรอกซีโปรเจสเทอโรน (medroxyprogesterone) หรือเรียก DMPA เช่นยี่ห้อ Depo-Provera โดยใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุกๆ 12 สัปดาห์ หรือ 84 วัน หรือ 3 เดือน

                             - ยาที่เป็นฮอร์โมน นอร์ทริสเทอโรน (norethisterone enanthate) หรือ NET-EN เช่นยี่ห้อ  Noristerat โดยใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุกๆ 8 สัปดาห์หรือ 56 วัน หรือ 2 เดือน

                          ผลข้างเคียงของยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดียว ได้แก่ การมีเลือดออกกะปริดปะปรอย บางรายอาจมีประจำเดือนมามาก ส่วนใหญ่จะพบในการฉีดเข็ม 1-2 เข็มแรก หลังจากนั้นประจำเดือนจะค่อยๆ มาน้อยลง จนกระทั่งขาดหายไป 

                           2. ยาฉีดชนิดฮอร์โมนรวม เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน (medroxyprogesterone) และเอสทราดิอัล ไซพิโอเนท (estradiol cypionate) เช่น ยี่ห้อ cyclofem, lunelle โดยใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุกๆ 4 สัปดาห์หรือ 28 วัน หรือ 1 เดือน ยาฉีดชนิดฮอร์โมนรวมจะคล้ายกับยาเม็ดคุมกำเนิด โดยจะทำให้มีประจำเดือนมาทุกเดือน ลดอาการเลือดออกกะปริดกะปรอย และประจำเเดือนมาไม่ปกติ ที่มักพบจากการฉีดยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยว

                         ทั้งนี้ ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์จะเหมือนกัน คือสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้มากกว่า 99% หรือมีโอกาสตั้งครรภ์ประมาณ 0.2%

                           สำหรับข้อห้ามในการฉีดยาคุมกำเนิด ได้แก่ ความดันโลหิตสูงชนิดที่ควบคุมไม่ได้ มีอาการปวดศีรษะไมเกรนรุนแรง มีตับอักเสบ ตับแข็ง เนื้องอกในตับ โรคหลอดเลือดหัวใจ มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือด กระดูกพรุน กำลังเป็นหรือเคยมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งรังไข่ เป็นต้น