-
มีเพศสัมพันธ์กับสามีที่ติดเชื่อแต่ตัวเองตรวจไม่พบเชื้อค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นไปได้อย่างไหร่ค่ะ
-
Aug 13, 2018 at 01:19 AM
รบกวนสอบค่ะ สามีติดเชื้อเอดส์ ระยะ ออกอาการแล้ว คือ น้ำหนักตัวลดลง ปอดอักเสบ มีเชื้อลาในช่องปาก ไอเหนื่อย เพิ่งรู้ว่าสามีติดเชื้อ ตอนเขาออกอาการ ได้ 3 วัน และนอนรักษาตัวอยู่ทีโรงพยาบาล เลยตรวจเลือดของตัวเอง แต่กลับไม่พบ ผลเลือดเป็นปกติ ทั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมา เกือบ 10 ปี แล้ว ค่ะ มีเพศสัมพันธ์กันเกือบทุกวัน ไม่เคยสวมถุง และทำออรัลเซ็กด้วยปากให้เขาทุกครั้งก่อนมีอะไรกัน ทำไมตัวเรา ถึงไม่ติดเชื้อ ค่ะ บางครั้งเขาก็เสร็จคาปากเราค่ะ เป็นกังวลว่าผลตรวจเชื่อถือ ตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งค่ะ ขอบคุณค่ะ
Aug 13, 2018 at 01:54 AM
tooktook
Aug 13, 2018 at 01:19 AMรบกวนสอบค่ะ สามีติดเชื้อเอดส์ ระยะ ออกอาการแล้ว คือ ตอนพาไปพบหมดคือ น้ำหนักตัวลดลง ปอดอักเสบ มีเชื้อลาในช่องปาก ไอเหนื่อย หอบ หายใจไม่ออก ชีพจรเต็นเร็ว เพิ่งรู้ว่าสามีติดเชื้อ ตอนเขาออกอาการ ได้ 3 วัน และตอนนี้นอนรักษาตัวอยู่ทีโรงพยาบาล เลยตรวจเลือดของตัวเอง แต่กลับไม่พบ ผลเลือดเป็นปกติ ทั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมา เกือบ 10 ปี แล้ว ค่ะ มีเพศสัมพันธ์กันเกือบทุกวัน ไม่เคยสวมถุง และทำออรัลเซ็กด้วยปากให้เขาทุกครั้งก่อนมีอะไรกัน ทำไมตัวเรา ถึงไม่ติดเชื้อ ค่ะ บางครั้งเขาก็เสร็จคาปากเราค่ะ เป็นกังวลว่าผลตรวจเชื่อถือได้ไหมค่ะ เป็นไปได้หรือค่ะ ที่เราไม่ติดเชื้อเลย ตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งค่ะ ผลการตรวจเลือดของสามี คือติดเชื้อเอดส์ ไม่ติดเชื้อซิฟิลิส ไม่ติดเชื้อหนองไน ไม่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ขอบคุณค่ะ
Aug 13, 2018 at 03:15 PM
สวัสดีคะคุณ tooktook
การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยติดเชื้อ เอส ไอ วีแบบที่ไม่ได้ป้องกันเลยนะค่ะ อัตราที่จะไม่ติดเชื้อน้อยกว่า 1% ค่ะ ดังนั้นตอนนี้หมอเกรงว่าคุณอาจจะอยู่ในช่วงของ window period คือ การตรวจไม่พบเชื้อค่ะ แต่อย่างไรก็ตามการตรวจเลือดซ้ำมีความจำเป็นมากค่ะ
ตอนนี้ถ้ายังตรวจไม่พบหมอแนะนำเรื่องการรับประทานยาต้านไวรัสก่อนค่ะ 28 วันและแนะนำเรื่องการป้องกันค่ะ ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์แนะนำสวมถุงยางอนามัยค่ะ
ส่วนสิ่งที่คุณต้องทำคือ คุณต้องทราบก่อนว่า คุณควรที่จะได้พบแพทย์เมื่อไหร่เพื่อตรวจว่าคุณมีการติดเชื้อหรือไม่
ก่อนอื่นเราต้องทำการตรวจระยะแรกก่อน ซึ่งเป็นการตรวจ ที่เรียกว่าการตรวจควบคู่ ระหว่าง HIV antibody และ HIV antigen คือการตรวจหาภูมิคุ้มกันและตัวเชื้อควบคู่กัน การตรวจนี้ในคนส่วนใหญ่สามารถตรวจพบได้ภายใน 2-6 สัปดาห์ หลังจากสัมผัสเชื้อ
แต่ถ้าตรวจเฉพาะ HIV antibody testing ตรวจได้ทั้งจากเลือดและจากน้ำลาย ส่วนใหญ่จะตรวจพบ หลังการสัมผัสเชื้อ ภายในระยะเวลา 3-12 สัปดาห์
หรืออาจจะตรวจ p24 antigen ซึ่งตรวจน้อย และการแปลผลอาจถูกรบกวนได้ด้วยตัวแปรอื่น
ถ้าการตรวจข้างต้นอย่างใดอย่างหนึ่งให้ผลบวก จะต้องมีการตรวจครั้งที่สอง เพื่อยืนยัน โดยการตรวจภูมิคุ้มก้น ซึ่งแตกต่างจากการตรวจแรกถ้าให้ผลบวกอีกครั้ง ให้ตรวจครั้งที่สาม เพื่อจำนวย ไวรัส ซึ่งเรียกว่า HIV RNA test ซึ่งสามารถตรวจหาได้ภายใน 1-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ
ลักษณะอาการที่จะเกิดขึ้นถ้ามีการติดเชื้อไวรัส เอช ไอ วี แบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะแรก เรียกว่า การติดเชื้อระยะแรก ( acute HIV infection stage ) ซึ่งระยะนี้ อาการจะเกิดขึ้นได้ ภายใน 2-4 สัปดาห์ ลักษณะอาการจะมีลักษณะเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป จะมาด้วยอาการไข้ ปวดตามตัว เจ็บคอ มีผื่น ปวดตามข้อ ถ้าคุณมีอาการดังต่อไปนี้ควรจะรีบไปพบแพทย์โดยด่วน ซึ่งในกรณีของคุณหมอขอแนะนำว่าคุณควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยัน ในระยะนี้ไวรัสจะมีจำนวนมากดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ไม่ควรใช้สารเสพติดที่ฉีดเข้าเส้นเลือดโดยใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
ระยะต่อมา จะเป็นระยะที่ไวรัสเริ่มจะอาศัยอยู่ในตัวคนไข้ แต่จะไม่แสดงอาการอะไร เรียกว่า clinical latency stage ซึ่งคือจำนวนไวรัสอาจจะไม่ได้มีมากและระยะนี้อาจยาวนานได้ถึง 10 ปี แต่ระยะยังมีการแพร่กระจายของโรคได้
ระยะสุดท้ายระยะที่เรียกว่า เอดส์ (AIDS) ซึ่งระยะนี้ระดับภูมิคุ้มกันจะต่ำมากทำให้มีโอกาสติดเชื้อฉวยโอกาสได้ขึ้นอยู่กับจำนวน CD 4 ที่เหลืออยู่
ปัจจุบันมียาต้านไวรัสหลายกลุ่มให้เรียกใช้ ดังนั้น ถ้าคุณตรวจพบแต่เนิ่น ๆ และ รักษาอย่างรวดเร็ว และไม่เพิ่มภาวะเสี่ยง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์สะอาด และ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้คุณสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
นอกเหนือจากการติดเชื้อ เอช ไอ วี แล้วคุณควรได้รับการตรวจเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ไวรัสตับอักเสบ บี ซี และ โรคซิฟิลิส เป็นต้น
-
ถามแพทย์
-
มีเพศสัมพันธ์กับสามีที่ติดเชื่อแต่ตัวเองตรวจไม่พบเชื้อค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นไปได้อย่างไหร่ค่ะ