ถามแพทย์ กลับไปที่ชุมชนถามตอบ ปวดอัณฑะกับท้องน้อยข้างขวา Newny555 สมาชิก Nov 10, 2021 at 09:03 AM สวัสดีครับ คือผมมีอาการปวดอัณฑะมาตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย. แล้วครับ ตอนนั้นผมช่วยตัวเองอยู่ใกล้จะหลั่งแล้วแต่ผมหยุด จากนั้นผมก็ไปปัสสาวะครับ สักครู่ผมก็กลับมาช่วยตัวเองอีกรอบ รอบนี้ระหว่างทำไป รู้สึกปวดบริเวณโคนอวัยวะเพศ พอทำจนเสร็จผมปวดท้องน้อยฝั่งขวามากครับ หากจับอัณฑะจะปวดมากทั้งซ้ายทั้งขวาเลยครับ สัก 2-3ชม. อาการดีขึ้นครับ สามารถจับอัณฑะได้ หลังจากนั้นก็รู้สึกปวดอัณฑะฝั่งขวาจับดูเหมือนมีเส้นในอัณฑะใหญ่กว่าฝั่งซ้าย แต่ไม่ได้ใหญ่มากจนเห็นชัดเจนนะครับ จับแล้วเจ็บไปถึงท้องน้อยฝั่งขวาเลยครับ ภายนอกอัณฑะไม่บวมไม่แดง หรือร้อน แต่อัณฑะฝั่งขวาฝั่งที่เจ็บจะอยู่เหนือฝั่งซ้ายนิดหน่อยครับ อาการที่ปวดที่อยู่ในอัณฑะจะไม่หนักขึ้นหรือลดลงเลยครับไม่ว่าจะวิ่ง นั่งหรือนอน มันก็จะยังปวดอยู่อย่างนั้น ปวดตื้อๆไม่หนักมาก บางทีจับจุดไม่ได้ด้วยว่าปวดตรงไหน ในบางวันมีอาการปวดขาฝั่งขวา ขาชา ร่วมด้วยครับ ปัสสาวะไม่แสบขัด ไม่มีไข้ เหนื่อยเพลีย หรืออยากอาเจียนเลยครับ แพทย์หญิงสลิล ศิริอุดมภาส สมาชิก Nov 10, 2021 at 09:14 AM สวัสดีค่ะ คุณ Newny555, อาการปวดทอัณฑะ อาจเกิดจาก 1. อัณฑะอักเสบ ซึ่งอาจเกิดจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคคางทูม หรือหากมีเพศสัมพันธ์ ก็จะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม แต่นอกจากอาการปวดอัณฑะแล้ว จะมีอัณฑะบวมแดงร่วมด้วย มีเจ็บเวลาปัสสาวะหรือหลั่งน้ำอสุจิ น้ำอสุจิเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด มีหนองตรงปลายท่อปัสสาวะ เป็นต้น 2. ไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบ มักจะคลำพบก้อนที่อัณฑะ หรืออัณฑะข้างใดข้างหนึ่งใหญ่กว่าอีกข้าง โดยเฉพาะเวลายืน นั่ง หรือไอ และจะยุบหายเวลานอนราบ โดยปกติจะไม่มีอาการเจ็บหรือปวด อาจแค่รู้สึกหน่วงๆ ได้ แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อน คือกลายเป็นไส้เลื่อนชนิดติดคา ก็จะทำให้มีอาการปวดอย่างต่อเนื่อง และอาจปวดไปยังท้องน้อยได้ 3. อัณฑะบิดตัว แต่จะมีอาการปวดอัณฑะขึ้นอย่างรุนแรง และเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันภายในไม่กี่ชั่วโมง บางรายอาจมีอาการปวดท้องน้อย หรือคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ทั้งนี้ หากปวดมาหลายวันแล้ว ก็ไม่น่าใช่สาเหตุ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดได้จาก โรคพังผืดอักเสบมีเนื้อตายบริเวณฝีเย็บ (necrotizing fasciitis of perineum) ไขมันของถุงอัณฑะมีเนื้อตายเฉพาะส่วน (necrosis of scrotal fat) หรือมีก้อนเนื้องอกหรือมะเร็งในอัณฑะ เป็นต้น หากยังคงมีอาการปวดอัณฑะอยู่เรื่อยๆ แม้จะเป็นไม่มาก ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาค่ะ ไม่ควรปล่อยไว้ เพราะอาจอันตรายได้หากเป็นไส้เลื่อนค่ะ Share: กลับไปที่ชุมชนถามตอบ