ถามแพทย์

  • มีตุ่มน้ำใสขึ้นตามนิ้วและฝ่ามือ มีแสบและคัน พอแห้งแล้วจะสากๆ แดงๆ เป็นๆ หายๆ ควรทำอย่างไร

  •  Beeber
    สมาชิก

    ตอนแรกมีตุ๋มเม็ดเล็กๆใสๆ(หลายตุ๋ม)เหมือนมีน้ำข้างใน ขึ้นบนข้อนิ้วกลาง แล้วจะมีอาการคันเป็นพักๆค่ะ พอตุ๋มน้ำแตก มันจะเริ่มแห้งๆสากๆ แดงๆ(อธิบายไม่ถูก)แล้วเหมือนมันจะเริ่มลามเป็นวงกว้าง จากข้อนิ้วกลางตรงกลางลามไปทั้งนิ้วทั้งนิ้ว ตอนนี้ลามลงมาจะฝ่ามือ เป็นบ่อยมาก ไม่เคยหายขาดเลยคะมีแต่เบาลง แล้วก็ขึ้นผ่ามือบ้าง นิ้วอื่นๆบ้าง ตอนนี้พอจับมือผิวไม่เหมือนเดิมมันจะสากๆๆ และมีตุ๋มน้ำใสๆอยู่เป็นๆหายๆค่ะ 

    สวัสดีค่ะ คุณ Beeber,

                       การมีตุ่มใสขึ้นบริเวณมือ และมีอาการแสบคัน โดยเกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ น่าจะเป็นผื่นผิวหนังอักเสบชนิดตุ่มน้ำใส (dyshidrosis, pompholyx) ซึ่งจะมีผื่นที่เป็นตุ่มน้ำใสขนาดเล็กๆ ประมาณ 1-3 มิลิเมตร พบเรียงตัวตามด้านข้างของนิ้วมือ นิ้วเท้า ด้านข้างฝ่ามือ รวมถึงอาจเกิดที่ฝ่าเท้า ร่วมกับมีอาการคันมาก ตุ่มน้ำเหล่านี้จะหายไปได้เอง โดยจะค่อยๆ แห้งและลอกออกภายใน 2-3 สัปดาห์ และเห็นเป็นขุย ผิวแดงและอาจเจ็บเล็กน้อย อาการจะเกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ 

                   สาเหตุของการเกิดนั้นไม่แน่ชัด อาจเกิดจากการตอบสนองแบบผื่นแพ้สัมผัสบางชนิดได้ เช่น ผื่นแพ้สัมผัสจากสารนิกเกิล เช่น โทรศัพท์มือถือ เครื่องประดับ เหรียญต่างๆ หรือ แพ้ไรฝุ่น เป็นต้น และมักพบในผู้ที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ หรือภูมิแพ้จมูกอักเสบ (ภูมิแพ้อากาศ) อยู่ 

                   ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น ความเครียด การอดนอน ไม่สบาย ความร้อน การมีเหงื่อออกมาก การล้างมือบ่อยๆ หรือสัมผัสกับน้ำบ่อยๆ เป็นต้น               

                   การรักษาคือดูแลตามอาการ และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจเป็นตัวกระตุ้นต่างๆ เมื่อพบมีผื่นขึ่นมาให้ใช้ยาทาสเตียรอยด์ชนิดที่มีความแรง เช่น  betamethasone diproprionate cream และอาจทานร่วมกับยาแก้แพ้เพื่อช่วยลดอาการคัน เช่น  ไฮดรอกไซซีน (hydroxyzine) , chlorpheniramine (CPM) เป็นต้นพยายามหลีกเลี่ยงการเกา เพราะอาจทำให้กลายเป็นแผลและติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ ดังนั้นหากตุ่มน้ำใสกลายเป็นตุ่มหนอง หรือผิวหนังมีแผลมีน้ำเหลืองไหล ควรไปพบแพทย์เพื่อรับยาปฏิชีวนะทานเพิ่ม

                    นอกจากตุ่มน้ำใสดังกล่าว น่าจะเป็นผื่นผิวหนังอักเสบชนิดตุ่มน้ำใส (dyshidrosis) ดังกล่าวแล้ว  โรคอื่นๆที่อาจเป็นไปได้ เช่น โรคหิด โรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกัน (pemphigus และ bullous pemphigoid) เป็นต้น ดังนั้นแนะนำว่าหากยังไม่เคยไปพบแพทย์เพื่อตรวดูลักษณะของผื่น ควรไปให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยดูก่อนค่ะ