ถามแพทย์

  • มีอาการคล้ายหนองในเทียม กินยารักษาจนครบและไม่มีอาการ แต่ปัสสาวะยังมีเมือกขาวอยู่ ควรทำอย่างไร

  •  cimeeee
    สมาชิก

    สวัสดีครับ ก่อนหน้านี้ผมมีอาการคล้ายหนองในเทียม ไปที่คลินิกเอกชนเมื่อวันที่ 28 เมษายน ได้ฉีดยาและรับยา doxycycline มาทาน หลังทานครบแล้วไม่มีอาการอะไร 

    จากนั้นไปตรวจหาเชื้อที่คลินิกนิรนามเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม (1 สัปดาห์พอดีหลังเริ่มทานยา ไม่เจอทั้งโกโนเรียและคลามัยเดีย)

    แต่วันนี้หลังตื่นนอน ลองปัสสาวะใส่แก้ว เห็นว่ามีเมือกขาวกระจายๆ คล้ายสำลีบางๆ ทั่วปัสสาวะ อยากทราบว่าแบบนี้ผิดปกติไหมครับ และเกี่ยวกับโรคหนองในไหม

    ช่วงที่มีอาการ ลองปัสสาวะใส่แก้วแล้วมันเป็นเมือกใสจับเป็นก้อนเล็กๆ ไม่ก็เป็นเส้นๆ คล้ายเส้นด้ายครับ

    เกี่ยวกับตอนมีอาการช่วงแรก ผมได้มีเพศสัมพันธ์แบบใส่ถุงยาง แต่ถูกออรัลสด หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ผมช่วยตัวเองบ่อยและหนัก วันนั้นรู้สึกมีน้ำค้างในท่อและระคายเคือง หลังจากนั้นตื่นมาก็มีอาการคันและมีน้ำขุ่นซึมออกมาที่ปลาย (เป็นเฉพาะช่วงเช้า) วันต่อมาอาการคันน้อยลง แทบไม่มีอาการคันระหว่างวัน แต่ยังมีน้ำซึมและคันนิดๆตอนเช้า จึงไปคลินิกเอกชนตามที่ได้บอกข้างต้นครับ

    รบกวนปรึกษาและขอบคุณมากๆเลยครับ และอยากทราบว่าแบบนี้ควรไปตรวจหาเชื้อซ้ำไหมครับ ผมกังวลส่วนนี้เพราะค่าใช้จ่ายในการตรวจปัสสาวะหาเชื้อค่อนข้างแพงครับ

    cimeeee  พญ.นรมน
    แพทย์

    สวัสดีค่ะคุณcimeeee

    แพทย์ไม่เห็นรูปที่แนบ

    หนองในคือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จะมีอาการบริเวณอวัยวะเพศเช่นมีปัสสาวะแสบขัด มีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะหรือออกมาปนกับปัสสาวะ โดยจะมีทั้งหนองในเทียมหรือหนองในแท้ คือจะต่างกันที่เชื้อก่อโรค แต่อาการที่เกิดจะเหมือนกัน

    การรักษาคือใช้ยาฆ่าเชื้อแบบฉีดที่จะรักษาเชื้อหนองในแท้ และแพทย์มักจะให้ยารักษาหนองในเทียมซึ่งก็คือยา doxycycline หรือ Azithromycin มารับประทานด้วย เนื่องจากหนองในแท้และหนองในเทียมมักเกิดร่วมกัน หลังรับประทานยา ผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็มักจะหายขาดจากโรค ในบางรายที่รับประทานยาไปแล้ว ยังมีอาการของโรคอยู่อาจเกิดจากการดื้อยาหรือยาไม่ตรงกับโรค ควรกลับไปพบแพทย์ที่รักษาอีกครั้ง

    การมีปัสสาวะที่มีเมือกขาวกระจายๆนั้น อาจจะยังไม่ใช่อาการที่ชัดเจนของหนองในมากนัก การติดต่อของโรคคือการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันกับผู้ที่มีเชื้อ หากตอนนี้มีความเสี่ยงใหม่หลังการรักษา คือมีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกันอยู่ ก็สามารถกลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการหรือตรวจปัสสาวะซ้ำอีกครั้งได้ และควรไปตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำทุกปี