ถามแพทย์

  • หยุดทานยาคุมไปได้ 1 เดือน แล้ววันที่ 13-14 มี.ค. มีเลือดออกมาเล็กน้อย และมีปวดท้องน้อย เกิดจากอะไร

  •  napatsorn_p@hotmail.com
    สมาชิก
    สอบถามคุณหมอค่ะ พอดีว่าหยุดทานยาคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือน 21 เม็ด ไปได้ 1 เดือนค่ะ พอนับวันที่ประจำเดือนมาตอนกินยาปกติคือวันเสาร์ที่ 12 มี.ค. ค่ะ แต่ยังไม่มาค่ะ พอวันอาทิตย์ที่ 13 มี.ค. ตอนเย็นเหมือนมีเลือดปนกับเมือกใสออกมานิดเดียวแล้วหยุดไป และพอเช้าวันจันทร์ 14 มี.ค. มีเลือดออกมาติดผ้าอนามัยนิดเดียวเองค่ะ เกิดจากอะไรคะ มีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วยค่ะ รบกวนสอบถามคุณหมอหน่อยค่ะ
    napatsorn_p@hotmail.com  napatsorn_p@hotmail.com
    สมาชิก
    เพิ่มเติมนะคะ มีเพสสัมพันธ์ในช่วงหยุดกินยาคุมเดือนนี้ 2 ครั้งค่ะ ใส่ถุงยางตลอด และแฟนออกมาหลั่งข้างนอกด้วยค่ะ ประเด็นท้องมีโอกาสมั้ยคะ
    napatsorn_p@hotmail.com  napatsorn_p@hotmail.com
    สมาชิก
    เพิ่มเติมนะคะ มีเพสสัมพันธ์ในช่วงหยุดกินยาคุมเดือนนี้ 2 ครั้งค่ะ ใส่ถุงยางตลอด และแฟนออกมาหลั่งข้างนอกด้วยค่ะ ประเด็นท้องมีโอกาสมั้ยคะ

    สวัสดีค่ะ คุณ napatsorn_p@hotmail.com,

                         หลังจากที่หยุดทานยาคุมกำเนิดไปแล้ว ประจำเดือนในรอบต่อไป ก็จะมาภายใน 4-6 สัปดาห์ หรืออาจเร็วหรือช้ากว่านั้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

                          ดังนั้น หากหยุดทานยาคุมไปได้ 1 เดือนแล้ว ต่อมามีเลือดออกมาเล็กน้อยในวันที่ 13-14 มี.ค. ร่วมกับอาการปวดท้องน้อย ก็น่าจะเป็นประจำเดือนได้ค่ะ เพียงแต่การที่มีปริมาณน้อย อาจเพราะเพิ่งมีการหยุดทานยาคุมไป ดังนั้น แนะนำควรสังเกตอาการไปก่อน หากเลือดออกไม่นานเกิน 7 วัน แล้วไม่มีอาการปวดท้องน้อยต่อหลังจากที่เลือดหยุดไหลไปแล้ว ก็ไม่ได้ผิดปกติอะไรค่ะ ให้สังเกตประจำเดือนในรอบต่อๆ ไปก่อนว่าจะมีปริมาณที่มากขึ้นหรือไม่ค่ะ

                         แต่หากเลือดออกนานเกิน 10 วัน หรือมีปวดท้องน้อยต่อเนื่อง หรือเลือดหยุดไหลแล้ว แต่เกิดเลือดออกกะปริดกะปรอยมาอีกเรื่อยๆ แนะนำควรไปพบสูติ-นรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุค่ะ โดยในเบื้องต้น หากหลังจากที่หยุดทานยาคุมไป ได้มีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว ก็ควรตรวจหาการตั้งครรภ์ดูด้วยค่ะ