มีประจำเดือนมา แล้วมีไข้ ท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้ กินยาลดไข้ และจะต้องทานยาคุม จะมีผลไหม

สวัสดีค่ะ คุณ Alice,

                    อาการมีไข้ ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ ปวดท้อง เวียนหัว คลื่นไส้ ที่เป็นอยู่ น่าจะเกิดจากอาหารเป็นพิษ หรือ ลำไส้อักเสบแบบเฉียบพลับ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อที่มาจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคหรือพิษของเชื้อโรค หรือจากมือหรือภาชนะที่ใส่อาหารและน้ำดื่มไม่สะอาด มีการปนเปื้อนเชื้อโรคก็ได้ 

                    ในเบื้องต้น ควรพยายามดื่มน้ำสะอาดให้มาก และดื่มน้ำเกลือแร่ร่วมด้วย เพื่อชดเชยเกลือแร่ที่เสียไปทางอุจจาระ จะได้ลดอาการอ่อนเพลียที่มักจะเกิดตามมา ส่วนอาหาร พยายามเลือกทานอาหารอ่อน อาหารที่ย่อยง่าย รสจืด เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด ของผัด และเนื้อสัตว์ เพราะย่อยยาก และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เพราะจะยิ่งทำให้ถ่ายอุจจาระมากขึ้น หากมีไข้ก็ให้ทานยาลดไข้ คือพาราเซตามอล หากทานยาพาราเซตามอลแล้วไข้ลง ก็ไม่จำเป็นต้องทานยาพอนสแตนควบคู่ไปด้วย หากมีอาการคลื่นไส้ ก็อาจทานยาแก้คลื่นไส้อาเจียน นอกจากนี้อาจทานคาร์บอนเสริม เพื่อช่วยในการดูดซึมสารพิษ

                   สำหรับ ไข้ทับระดู นั้น มักหมายถึง การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งทำให้มีมดลูกอักเสบ หรือเกิดอุ้งเชิงกรานอักเสบ อาการคือมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องน้อย มีตกขาวปนหนองออกมาระหว่างที่มีประจำเดือน เป็นต้น

                   ดังนั้น อาการที่เป็นอยู่ จึงเป็นเพียงการติดเชื้อโรคติดต่ของระบบทางเดินอาหาร  ที่สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าในช่วงมีหรือไม่มีขณะที่มีประจำเดือน 

                  ส่วนการทานยาคุมกำเนิด ก็ให้ทานในเวลาเดิมปกติ แต่เนื่องจากมีอาการของท้องเสีย จึงอาจมีผลต่อการดูดซึมของยาที่อาจลดลงได้ และอาจทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลง ดังนั้น ในช่วงที่มีอาการของท้องเสีย แนะนำควรงดการมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางร่วมด้วยไปก่อน และเมื่อหายจากอาการท้องเสียแล้ว ก็ควรงดการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้ถุงยางอนามัยต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 7 วันก่อน