ถามแพทย์

  • ชาที่นิ้วก้อยซ้ายมา 1 สัปดาห์ เกิดหลังจากยืดและเกร็งแขน ควรไปพบแพทย์ไหม

  •  Luke Srivanithvised
    สมาชิก

    ผมมีอาการชาที่นิ้วก้อยซ้ายมา1อาทิตย์แล้ว ผมไม่แน่ใจว่าใช่สาเหตุไหมแต่ผมเริ่มมีอาการตั้งแต่ตอนที่ผมกำลังยืดและเกร็งแขน แล้วบริเวณข้อศอกมีเสียงดังแก๊ะแล้วรู้สึกเจ็บนิดนึงและหาย ซักพักหลังจากนั้นผมก็เริ่มรู้สึกชาเหมือนเวลานั้งนานๆที่นิ้วก้อย

    ผมเลยอยากสอบถามว่าอาการแบบนี้จะหายเองได้ไหม หรือ ผมควรที่จะไปพบกับแพทย์เลยดี

    ขอบคุณครับ

    สวัสดีค่ะ คุณ Luke Srivanithvised,

                       อาการชาที่นิ้ว เกิดจากเส้นประสาทที่อยู่บริเวณนิ้วมือเกิดการทำงานผิดปกติ โดยอาจเกิดจาก

                       - เส้นประสาทอัลนาร์ที่ข้อมือถูกกดทับหรือบีบรัด (Ulnar Nerve Entrapment) แต่มักจะทำให้เกิดอาการชาที่นิ้วนางและนิ้วก้อย ไม่น่าเกิดที่นิ้วก้อยเพียงนิ้วเดียว

                      - เส้นประสาทเรเดียลที่ข้อมือถูกกดทับหรือบีบรัด (Carpal Tunnel Syndrome) จากพังผืดที่เกิดขึ้นที่บริเวณข้อมือ แต่จะทำให้เกิดอาการชาที่นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง ไม่ใช่นิ้วก้อย

                      -  มีซีสต์ที่ข้อมือ ทำให้เส้นประสาทที่ข้อมือถูกดทับ แต่ก็มักจะชาหลายนิ้ว

                       - เคยมีกระดูกบริเวณนิ้วมือหักมาก่อน

                       - ภาวะกระดูกคอทับเส้นประสาท จากการมีกระดูกสันหลังคอหรือหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม แต่มักมีอาการปวดคอและบ่าร่วมด้วย และอาจร้าวไปถึงไหล่และท้ายทอย และมีอาการชาที่มือ ซึ่งมักเป็นทั้งมือ

                       - โรคเบาหวาน จะทำให้เกิดเส้นประสาทเกิดความเสียหายโดยเฉพาะบริเวณมือและเท้า ทำให้มักมีอาการชาปลายนิ้วมือ รวมถึงนิ้วเท้าด้วย มักเป็นหลายนิ้ว

                       - โรคเรย์นอด (Raynaud’s Disease) เป็นโรคของหลอดเลือดแดงเล็กที่อยู่ในนิ้วเกิดการหดตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดไม่ไปเลี้ยงปลายนิ้ว จึงเกิดอาการชาได้ แต่มักเกิดอาการในหลายๆ นิ้ว

                      - การดื่มแอลกอฮอล์มากไป ทำให้ปลายประสาทเสื่อมได้

                      - การติดเชื้อ HIV ซิฟิลิส โรคเรื้อน แต่ก็จะมีอาการอื่นๆ อีกหลายอย่าง

                      - โรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) แต่ก็จะมีอาการอื่นๆ อีกหลายอย่าง

                      -  ภาวะเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน แต่ก็จะต้องมีอาการชาหลายที่

                     -  ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น การทำเคมีบำบัด

                     - ขาดวิตามิน B-12

                      เป็นต้น

                     ส่วนการยืดและเกร็งแขน หากทำรุนแรงไป อาจมีผลต่อเส้นประสาทได้ แต่ก็น่าจะเป็นเพียงชั่วคราวแล้วหายไป ไม่น่าเป็นต่อเนื่อง 

                      ดังนั้น หากอาการชา ยังคงเป็นต่อเนื่อง ก็ควรไปพบอายุรแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุค่ะ

                     ในเบื้องต้น อาจใช้การประคบร้อนเพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น พยายามขยับนิ้วมือบ่อย ๆ ร่วมกับการสะบัดข้อมือ หมุนแขน หมุนไหล่ เพื่อไม่ให้เกิดการกดทับของเส้นประสาท ไม่ทำงานที่ส่งผลให้มีอาการชามากขึ้น ไม่ใช้มือในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน งดการดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น

     

    สวัสดีค่ะ คุณ Luke Srivanithvised,

                       อาการชาที่นิ้ว เกิดจากเส้นประสาทที่อยู่บริเวณนิ้วมือเกิดการทำงานผิดปกติ โดยอาจเกิดจาก

                       - เส้นประสาทอัลนาร์ที่ข้อมือถูกกดทับหรือบีบรัด (Ulnar Nerve Entrapment) แต่มักจะทำให้เกิดอาการชาที่นิ้วนางและนิ้วก้อย ไม่น่าเกิดที่นิ้วก้อยเพียงนิ้วเดียว

                      - เส้นประสาทเรเดียลที่ข้อมือถูกกดทับหรือบีบรัด (Carpal Tunnel Syndrome) จากพังผืดที่เกิดขึ้นที่บริเวณข้อมือ แต่จะทำให้เกิดอาการชาที่นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง ไม่ใช่นิ้วก้อย

                      -  มีซีสต์ที่ข้อมือ ทำให้เส้นประสาทที่ข้อมือถูกดทับ แต่ก็มักจะชาหลายนิ้ว

                       - เคยมีกระดูกบริเวณนิ้วมือหักมาก่อน

                       - ภาวะกระดูกคอทับเส้นประสาท จากการมีกระดูกสันหลังคอหรือหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม แต่มักมีอาการปวดคอและบ่าร่วมด้วย และอาจร้าวไปถึงไหล่และท้ายทอย และมีอาการชาที่มือ ซึ่งมักเป็นทั้งมือ

                       - โรคเบาหวาน จะทำให้เกิดเส้นประสาทเกิดความเสียหายโดยเฉพาะบริเวณมือและเท้า ทำให้มักมีอาการชาปลายนิ้วมือ รวมถึงนิ้วเท้าด้วย มักเป็นหลายนิ้ว

                       - โรคเรย์นอด (Raynaud’s Disease) เป็นโรคของหลอดเลือดแดงเล็กที่อยู่ในนิ้วเกิดการหดตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดไม่ไปเลี้ยงปลายนิ้ว จึงเกิดอาการชาได้ แต่มักเกิดอาการในหลายๆ นิ้ว

                      - การดื่มแอลกอฮอล์มากไป ทำให้ปลายประสาทเสื่อมได้

                      - การติดเชื้อ HIV ซิฟิลิส โรคเรื้อน แต่ก็จะมีอาการอื่นๆ อีกหลายอย่าง

                      - โรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) แต่ก็จะมีอาการอื่นๆ อีกหลายอย่าง

                      -  ภาวะเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน แต่ก็จะต้องมีอาการชาหลายที่

                     -  ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น การทำเคมีบำบัด

                     - ขาดวิตามิน B-12

                      เป็นต้น

                     ส่วนการยืดและเกร็งแขน หากทำรุนแรงไป อาจมีผลต่อเส้นประสาทได้ แต่ก็น่าจะเป็นเพียงชั่วคราวแล้วหายไป ไม่น่าเป็นต่อเนื่อง 

                      ดังนั้น หากอาการชา ยังคงเป็นต่อเนื่อง ก็ควรไปพบอายุรแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุค่ะ

                     ในเบื้องต้น อาจใช้การประคบร้อนเพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น พยายามขยับนิ้วมือบ่อย ๆ ร่วมกับการสะบัดข้อมือ หมุนแขน หมุนไหล่ เพื่อไม่ให้เกิดการกดทับของเส้นประสาท ไม่ทำงานที่ส่งผลให้มีอาการชามากขึ้น ไม่ใช้มือในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน งดการดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น