นั่งเยอะ และมักนั่งไขว้ขามา 1 เดือน ต่อมาเท้าบวมโตขึ้น ใส่รองเท้าแล้วคับแน่น หาหมอตรวจแล้วไม่พบอะไรผิดปกติ กินยาแล้วไม่ดีขึ้น

สวัสดีค่ะ คุณ Supaporn Siangsai,

                อาการเท้าบวม อาจเกิดจาก

                1. การยืนนาน นั่งห้อยเท้านาน เดินมาก ก็อาจทำให้เกิดการบวมเล็กน้อยได้ จากการที่น้ำเหลืองคั่ง ไหลเข้าสู่หัวใจได้น้อยกว่าปกติ แต่ทั้งนี้ ไม่ได้ถือว่าอันตรายอะไร

                 2. การบาดเจ็บที่เท้าหรือหรือข้อเท้า เช่น สะดุดล้ม ข้อเท้าพลิก หรืออาจเกิดจากเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายมากไปก็ได้ แต่มักมีอาการปวดร่วมด้วย

                3. การอักเสบของข้อเท้า จากโรคข้อเสื่อม หรือโรคเก๊าท์ เป็นต้น มักมีอาการปวดร่วมด้วย

                4. การอักเสบติดเชื้อของข้อเท้า แต่จะมีอาการปวดร่วมด้วย ผิวหนังจะบวมแดง อาจมีไข้ ปวดเมื่อยตัวร่วมด้วย 

                5. หลอดเลือดดำเสื่อม จากลิ้นหลอดเลือดดำทำงานผิดปกติ

                6. เกิดลิ่มเลือดอุดตันที่ขา ซึ่งมักจะมีขาบวมร่วมด้วย หากกระดกเท้าขึ้นจะปวดที่บริเวณน่อง 

                7. น้ำเหลืองคั่งจากท่อน้ำเหลืองอุดตัน ซึ่งมีสาเหตุจาก เช่น โรคเท้าช้าง โรคมะเร็งชนิดต่างๆ เป็นต้น แต่ก็จะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย และอาการบวมจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ 

                 8. มีโรคหัวใจวาย โรคไตเรื้อรัง หรือโรคตับแข็งอยู่ แต่จะมีอาการอื่นๆ อีกหลายอย่างร่วมด้วย

                 9.การใช้ยาชนิดต่างๆ ได้แก่ ยาฮอร์โมนต่างๆ ซึ่งรวมถึงยาคุมกำเนิดต่างๆ ด้วยค่ะ ยาต้านเศร้า ยาสเตียรอยด์ เป็นต้น 

                  นอกจากนี้ยังพบได้ในหญิงตั้งครรภ์ และมีบางรายที่ไม่พบสาเหตุที่ชัดเจนค่ะ

                 ดังนั้น หากมีประวัติการไปเฝ้าไข้ ซึ่งมีการนั่งนานๆ ตลอดวัน อยู่ประมาณ 1 เดือน โดยที่ไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ก็น่าจะมีสาเหตุมาจากการนั่งนานได้ ซึ่งไม่ได้ถือว่าอันตรายอะไร และหากได้ไปพบแพทยเพื่อตรวจแล้ว ไม่พบโรคต่างๆ ก็ไม่น่ามีโรคอะไรค่ะ ควรสังเกตอาการต่อไปก่อน แนะนำว่า หากยังต้องนั่งเฝ้าไข้ ควรนั่งยกขาเป็นระยะๆ หรือควรมีขยับขาบ่อยๆ โดยใช้วิธียกขาให้ขนานกับพื้นและ และกระดกเท้าขึ้น เพื่อช่วยให้น้ำเหลืองไหลเวียนเข้าสู่หัวใจได้ดีขึ้น และเวลานอน อาจยกเท้าข้างซ้ายที่เป็นให้สูง โดยหาหมอนมาหนุนที่เท้าไว้ค่ะ 

                 แต่หากอาการบวมยังคงเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ หรือมีอาการปวด หรือเริ่มมีอาการผิดปกติอื่นๆ ก็ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติมต่อค่ะ