เป็นฝีที่แก้มก้น แตกแล้ว แต่เป็นก้อนเเข็ง ขยายใหญ่ขึ้น กินยาแก้อักเสบ ยังไม่หาย ต้องทำอย่างไร

แพทย์หญิงสลิล ศิริอุดมภาส
Oct 29, 2017 at 04:40 PM

สวัสดีค่ะ คุณ Trithipnipa Toncamson,

                ฝีที่บริเวณแก้มก้นดังกล่าว อาจเป็น

               1. ฝีธรรมดา ที่เกิดจากผิวหนังและเนื่อเยื่อใต้ผิวหนังบริเวณก้นเกิดการอักเสบติดเชื้อ จนทำให้เกิดอากรบวมเป็นก้อนนูนแดง ร้อน ปวด และมีหนองอยู่ภายใน หากมีรูเปิดออก ก็จะเห็นหนองไหลออกมา บางรายอาจมีไข้ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ส่วนน้อยเกิดจากเชื้อรา

                การรักษาฝีต้องอาศัยทั้งการทานยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อและการผ่าระบายเอาหนองออก เพราะหากไม่ผ่าตัดระบายเอาหนองที่มีเชื้อโรคออก เชื้อโรคอาจลุกลามลึกลงและแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ ได้ และเชื้ออาจเข้าสู่กระแสเลือด จนอาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดขึ้นได้

              2. ฝีคัณฑสูตร เป็นฝีที่เกิดข้างในทวารหนัก แต่เกิดเส้นทางภายในที่หนองกัดเซาะจนเป็นโพรงและกลายมาเป็นฝีที่บริเวณแก้มก้นให้เห็นขึ้นมา อาการคือจะปวดข้างในทวารหนัก โดยเฉพาะเวลาถ่ายอุจจาระ มักมีไข้ร่วมด้วย และจะมีอาการบวมและปวดตรงบริเวณรอบๆ รูทวารหนัก มีน้ำเหลืองหรือหนองซึมออกจากรูที่ผิวหนังบริเวณใกล้กับทวารหนัก การรักษาคือต้องรักษาอาการที่เป็นฝีหนองให้หายก่อน ด้วยการทานยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อและการผ่าระบายหนองออก หลังจากนั้นต้องผ่าตัดรักษาปิดเส้นทางที่เป็นโพรงต่างๆ 

              ดังนั้นแม้ฝีของคุณ Trithipnipa Toncamson จะแตกออกเองแล้ว หากยังคงคลำได้เป็นก้อนแข็ง แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอีกครั้งค่ะ ว่ายังคงมีหนองอยู่หรือไม่ หากยังคงมี ต้องผ่าระบายเอาหนองออกค่ะ และจะได้ประเมินเพิ่มเติมด้วยว่าเป็นฝีคัณฑสูตรหรือไม่ค่ะ

เรียน คุณหมอ 

กรณีที่ผ่าฝีที่ก้นมาแล้ว สาม ถึง สี่ครั้ง  แต่ยังคงมีตุ่มฝีเกิดขึ้นที่ก้น ใกล้กับตำแหน่งที่ผ่า ซึ่งมีน้ำสีเหลืองๆ  บางทีก็จะเป็นเลือดปนออกมา ซึ่งเป็นอย่างนี้เมาประมาณ สาม ปีแล้ว ปัจจุบันต้องปิดแผล และใส่ผ้าอนามัยด้วย ลักษณะนี้แสดงว่ายังมีการอักเสบด้านในอยู่ หรือเปล่าคะ ซึ่งสามีไม่มีอาการเป็นไข้ แต่อย่างใด และ ก็ไปออกกำลังกาย ตีแบด ตามปกติ ซึ่ง ได้บอกให้สามีไปหาหมอแต่ คนป่วยไม่อยากไปเพราะกลัวว่าหมอจะต้องผ่าฝีซ้ำ แล้วให้กลับบ้านเลยเหมือนที่ผ่านมา โดยที่ไม่ได้เช็คซ้ำ  และที่สำคัญต้องหยุดงาน อีกทั้งต้องไปโรงพยาบาลล้างแผลทุกวัน ถ้าปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้จะมีผลต่อร่างกายอย่างไร ในอนาคตคะ

ขอบคุณค่ะ

เมทินี