-
อายุ 21 ปี มีท้องผูกตั้งแต่เด็ก กินยาดีท๊อกซ์แล้วขับถ่ายได้ พอเลิกกินก็ท้องผูกอีก พอกินไฟเบอร์และโพรไบโอติก ก็ถ่ายได้ทุกวัน พอหยุดทานก็ท้องผูกอีก ทำอย่างไร
-
Mar 12, 2022 at 09:19 AM
สวัสดีค่ะ อยากสอบถามเรื่องความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ค่ะ อายุ21ค่ะ เป็นคนชอบกินผักและผลไม้ ปกติแล้วเป็นคนกินค่อนข้างเยอะ กินน้ำก็ถือว่าไม่ได้น้อยเกินไป แต่มีอาการท้องผูกมานานมาก ตั้งแต่ยังเด็ก2-3ขวบ หลายวันถ่ายทีเพราะไม่มีอาการปวดอุจจาระเลย พอถ่ายทีทำให้เจ็บมาก บางครั้งมีเลือดปน ตอนอายุประมาณ19ปี เริ่มซื้อดีทอกซ์กินเพราะท้องน้อยป่องมากเมื่อเทียบกับขนาดตัว เนื่องจากอุจจาระไม่ออก ทั้งที่พยายามกินผักผลไม้และน้ำเพิ่มขึ้น ก็เริ่มขับถ่ายได้ทุกวัน กินประมาณ2เดือนจึงเลิกกิน แต่ก็กลับมาถ่ายไม่สม่ำเสมอเหมือนตอนที่กิน ตอนอายุ21ปี เริ่มมีการถ่ายไม่ออกหลายวันอีกครั้ง แม่จึงซื้อผลิตภัณฑ์แบบซองเสริมอาหารที่เป็นใยอาหารผสมกับโพรไบโอติกให้ทาน โดยทานต่อเนื่องมา2-3เดือน กินพร้อมน้ำ2แก้วในเวลากลางคืน และแคปซูลที่เป็นสารสกัดจากผัก แรกๆถ่ายทุกวันตอนเช้า หลังๆเมื่อเลิกกินแคปซูลก็กลับมาถ่ายยากกว่าเดิม แต่ยังคงกินแบบซองต่อมาเรื่อยๆก็ไม่ดีขึ้น จึงกินยาระบายนานๆครั้งเพื่อไล่อุจจาระออกบ้าง เนื่องจากกินเข้าไปมากแต่อุจจาระออกน้อยจนทำให้แน่นท้องอย่างมาก หลังๆอุจจาระเริ่มมีขนาดลำเล็กลง แต่ไม่มีเลือดปนแบบเมื่อก่อน และท้องน้อยยังคงป่องมากเหมือนเดิม รบกวนขอคำแนะนำหน่อยนะคะ ขอบคุณมากค่ะMar 12, 2022 at 10:39 AM
สวัสดีค่ะ คุณ Pynyyy,
อาการท้องผูกที่เป็นมานานตั้งแต่เด็ก โดยเป็นๆ หายๆ อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
1. การเคลื่อนไหวของลำไส้ลดลง เพราะขาดตัวกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ จากการที่มีปริมาณอุจจาระน้อย เช่น เกิดจากการกินอาหารที่มีกากใยน้อย ดื่มน้ำน้อย หรือขาดการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น การนั่งทำงานทั้งวัน ทำให้ลำไส้ไม่บีบเคลื่อนตัว
2. จากปัญหาทางอารมณ์ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล ส่งผลให้ลำไส้ลดการบีบตัวลง
3. การเบ่งถ่ายอุจจาระผิดวิธี ซึ่งเกิดจากการทํางานไม่ประสานกันของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเบ่งอุจจาระ คือมีการออกแรงเบ่งพร้อมกับขมิบหูรูดทวารหนักไปด้วย เมื่อแรงเบ่งมีไม่มากพอที่จะเอาชนะแรงต้านบริเวณหูรูด อุจจาระก็ไม่สามารถจะเคลื่อนออกมาได้ หรือมีการเบ่งถ่ายขณะหายใจเข้าแล้วแขม่วท้อง
4. การทำงานของลำไส้ใหญ่ผิดปกติ หรือภาวะลำไส้เฉื่อย เป็นการที่ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหวน้อยลงทําให้อุจจาระเคลื่อนลงมาช้ากว่าปกติ
5. มีความผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดที่ควบคุมการขับถ่ายทำงานผิดปกติรวมถึงภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานผิดปกติ มักพบในผู้หญิงวัยกลางคน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเบ่งอุจจาระไม่ออกหรือกลั้นถ่ายอุจจาระไม่ได้
6. การทานยาบางชนิด ซึ่งมีผลข้างเคียงทำให้ท้องผูกได้ เช่น ยาลดกรด ยารักษาอาการซึมเศร้า ยากันชัก ยาเสริมแคลเซียมและธาตุเหล็ก ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ เป็นต้น
7. การเสียสมดุลของฮอร์โมน เช่น ตั้งครรภ์ ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ เป็นต้น
8. โรคไส้ตรงปลิ้น (Rectal prolapse)
9. มีการอุดตันภายในลำไส้ใหญ่หรือทวารหนัก เช่น มีเนื้องอกหรือมะเร็งของลำไส้ใหญ่ แต่มักมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ ถ่ายอุจจาระมีมูกเลือดปน ถ่ายเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เป็นต้น หรืออาจเกิดจากเนื้องอกมดลูกที่มีขนาดใหญ่จนกดเบียดลำไส้ตรงและทวารหนัก เป็นต้น
ทั้งนี้ หากในช่วงที่ได้ทานผักผลไม้มากๆ และดื่มน้ำมากๆ ก็สามารถถ่ายอุจจาระได้ทุกวัน แสดงว่าไม่น่ามีปัญหามาจากการถ่ายอุจจาระที่ผิดวิธี และไมได้มีปัญหามาจากโรคหรือปัญหาต่างๆ ของลำไส้ นอกจากนี้ พอเลิกทานผักและผลไม้เยอะๆ ก็กลับมามีอาการท้องผูกอีก ก็ย่อมแสดงว่าคุณ Pynyyy ทานกากใยไม่เพียงพอค่ะ
และในช่วงที่ได้ทานอาหารเสริมที่เป็นใยอาหาร ร่วมกับโพรไปโอติก และแคปซูลผัก แล้วสามารถถ่ายได้ทุกวัน ก็ย่อมเป็นการแสดงว่า ไม่ได้มีโรคของลำไส้หรือโรคอื่นๆ อะไรค่ะ
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดท้องผูกขึ้นมาอีก ก็ต้องพยายามเพิ่มการทานอาหารที่มีกากใยสูง คือ ผัก ผลไม้ต่างๆ โดยต้องทานให้ได้ทุกมื้อ และดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ อย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน เพราะหากทานแต่กากใย แต่ไม่ได้ดื่มน้ำมากๆ ตามไปด้วย อาจทำให้กลายเป็นท้องผูกแทนได้ นอกจากนี้ควรลดปริมาณการทานเนื้อสัตว์ลง เพราะย่อยยาก และทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวน้อยลง และควรลดการทานแป้งขัดขาวและขนมหวานต่างๆ เพราะอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล เข้าไปแย่งน้ำในร่างกายเรา ทำให้ขับถ่ายยาก เกิดอาการท้องผูก นอกจากนี้ ในบางคน หากทานอาหารที่มีแลคโตสสูง เช่น นมวัว ชีส เนย ก็จะทำให้เกิดท้องอืด ซึ่งก็จะไปกระทบกับการทำงานของลำไส้และระบบขับถ่ายทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ดังนั้น ก็ควรลดอาหารที่ทำจากนม เนย ชีสลงด้วยค่ะ และควรออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อช่วยให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
ส่วนในช่วงที่เกิดท้องผูกขึ้น ก็ควรทานยาระบายช่วย โดยทานระยะสั้นๆ เช่น 1-2 วัน เมื่อถ่ายได้แล้ว ก็ให้หยุดทานไป หลังจากนั้น หากมีท้องผูกอีก ก็สามารถทานได้อีก แต่ห้ามทานแบบต่อเนื่อง เพราะจะก่อให้เกิดอาการดื้อยา ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยาขึ้นเรื่อยๆ และท้ายที่สุดอาจทำให้โครงสร้างและการทำงานของลำไส้เปลี่ยนแปลงไปได้ค่ะ
แต่หากยังมีท้องผูก จนแม้จะทานยาระบายแล้ว ก็ยังคงถ่ายไม่ออกแนะนำควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาค่ะ
-
ถามแพทย์
-
อายุ 21 ปี มีท้องผูกตั้งแต่เด็ก กินยาดีท๊อกซ์แล้วขับถ่ายได้ พอเลิกกินก็ท้องผูกอีก พอกินไฟเบอร์และโพรไบโอติก ก็ถ่ายได้ทุกวัน พอหยุดทานก็ท้องผูกอีก ทำอย่างไร