มีแผลที่อวัยวะเพศ กลมๆขาวๆ ไม่เจ็บ เคยเป็นแล้วหายไปแล้ว เกิดจากการช่วยตัวเองหรือเปล่า

สวัสดีค่ะ คุณ kkeiei,

                   แผลที่อวัยวะเพศชาย อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่

                  - เกิดจากการบาดเจ็บได้ หากมีประวัติของการบาดเจ็บ เช่น การไปถูกับสิ่งของ โดนสิ่งของครูดบาด โดนเล็บข่วน เป็นต้น

                  - เริมที่อวัยวะเพศ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยเริ่มแรกจะมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใส ต่อมาตุ่มน้ำจะแตกและกลายเป็นแผล แต่จะมีอาการเจ็บ แสบและปวดร่วมด้วย

                  - ซิฟิลิส เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์เช่นกัน  โดยระยะแรกจะมีตุ่มเล็กๆ เกิดขึ้น จากนั้นตุ่มจะกลายเป็นแผล  ขอบแผลเรียบยกนูนและแข็ง พื้นแผลมีสีแดงและดูสะอาด แผลจะไม่เจ็บไม่คัน

                 - แผลริมอ่อน หรือซิฟิลิสเทียม เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์เช่นกัน จะเริ่มจากเป็นแผลเล็กๆ ก่อนแล้วค่อยๆ ขยายรวมกันเป็นแผลใหญ่ ลักษณะของแผลจะดูแฉะไม่สะอาด มีเนื้อเยื่อเละ ๆ ที่ก้นแผล ส่วนที่ขอบแผลจะนูน ไม่แข็ง และไม่เรียบ และรู้สึกเจ็บ ต่อมาต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะบวมโต และเจ็บ       

                 - ฝีมะม่วง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์เช่นกัน เริ่มแรกจะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ หรือเป็นแผลตื้น ๆ ก็ได้ ไม่มีอาการเจ็บปวดและหายไปเองภายใน 2-3 วัน ต่อมาต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะบวมโตติดกันและกลายเป็นก้อนฝีขนาดใหญ่ ซึ่งจะเจ็บปวดมาก 

                   ทั้งนี้ แผลที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อ มักมีรูปร่างค่อนไปทางวงกลมหรือวงรี เพราะเป็นไปตามธรรมชาติ ที่การขยายของแผลย่อมกระจายไปทั่วๆ จึงย่อมเห็นเป็นวงกลม จะไม่ได้เห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยม หรือสามเหลี่ยมแต่อย่างใดค่ะ ยกเว้นในกรณีที่เป็นแผลจากอุบัติเหตุ ก็จะมีรูปร่างได้หลากหลายค่ะ

                    ในเบื้องต้น ควรสังเกตดูว่าแผลที่เกิดขึ้นนั้น เกิดหลังจากที่ช่วยตัวเองหรือไม่ หากใช่ ก็น่าจะเป็นแผลที่เกิดจากการบาดเจ็บได้ ซึ่งหากหายไปได้เอง ก็ไม่ได้อันตรายอะไรค่ะ เพียงแต่หลังจากนี้ ในการช่วยตัวเอง ก็ต้องระวัง ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ใช้สิ่งของที่มีคม ที่อาจทำให้เกิดบาดแผลขึ้นมาได้ และเมื่อเกิดบาดแผลขึ้นมาแล้ว ก็ควรงดการช่วยตัวเองไปก่อน และดูแลบาดแผลจนกว่าจะหายก่อนค่ะ แต่หากเคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน และแผลเกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วม แนะนำว่าควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยค่ะ