ถามแพทย์

  • อายุ 37 ปี เคยตรวจเจอ lymphoma รักษาแล้ว ไม่มีอาการลุกลาม ตอนนี้มีอาการแน่นท้องกำลังรักษา มีฝ้าที่ลิ้น เกิดจากอะไร

  •  NACH25
    สมาชิก

    ปัจจุบันผมอายุ 37 ปี

    ประมาณปี 61 เคยตรวจเจอ lymphoma (ซึ่งที่ตรวจเจอเพราะ มีก้อนนูนๆ ที่หลังใบหูต้นคอขวา จึงตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ) จึงได้ทำการตรวจ ct scan ช่วงลำคอ /ช่องท้องทั้งบน-ล่าง และ เจาะไขสันหลังไปตรวจ ไม่พบการลุกลามใดๆ ของโรค 

    โดยคุณหมอลงความเห็นว่า เป็น lymphoma ชนิดค่อยเป็นค่อยไป ทำการรักษาด้วยการให้ยาเคมีแบบเม็ดมาทาน อยู่ 3 - 4 ครั้ง ในช่วง ปลายปี 61 ถึงประมาณกลางปี 62 (และต้องทานยาต้านไวรัส Vilerm 400 mg เช้า-เย็น จนถึงปัจจุบัน) อีกทั้งติดตามผลโดยการ ct scan ทุกๆ 3 เดือน

    จนต้นเดือนที่แล้ว ผลขนาดต่อมน้ำเหลืองซึ่งคงที่อยู่ที่ 1.4 cm มา 1 ปี และไม่มีการลุกลามใดๆอีก ทางคุณหมอที่รักษาบอกว่าอาการโรคไม่น่าเป็นอันตรายแล้ว และถ้ายา vilerm หมดแล้ว ก็ไม่ต้องใช้เพิ่มแล้ว ให้ดูแลสุขภาพ และมาตามนัดตรวจอาการทุกๆ 3 เดือนแทน

     เมื่อกลางเดือนที่เเล้วคุณพ่อผมเข้ารพเพื่อรักษาโรคมะเร็งตับอ่อนและเสียชีวิตโดยตั้งแต่คุณพ่ออาการทรุด  เข้ารพ. จนจบงานศพ ผมและครอบครัว เหนื่อยล้าตั้งแต่การดูแลพ่อช่วงท่านยังป่วยอยู่ ธุระงานศพ เรื่องเอกสาร ฯลฯ

    กอปรกับมีความเครียด วิตกกังวลมากจนนอนไม่ค่อยหลับ ไม่สบายตัว และมีความผิดปกติของร่างกายที่สังเกตุได้ ดังนี้

    • เวลาเครียด หรือกังวล จะรู้สึกร้อนวาบในช่องปากและร้อนในตา
    • ข้างลิ้นทั้ง 2 ข้าง จะมีวงขาวเล็กๆ ซึ่งวงจะขยายใหญ่ และหายไปภายใน 2 - 3 วัน (เป็นๆ หายๆ)
    • แน่นท้องจนรู้สึกตึงใต้ชายโครงขวา หากนั่งแล้วโน้มตัวไปข้างหน้าจะปวดท้อง และเจ็บจี้ดทะลุหลังเป็นบางเวลา ทำให้เกิดความกังวลว่าจะมีความผิดปกติที่ตับ หรือตับอ่อนหรือไม่

    เมื่อ 10 วันก่อนที่เขียนคำถามนี้ ผมจึงไปหาหมอระบบทางเดินอาหารที่ศูนย์แพทย์ เล่าอาการและความกังวลให้หมอฟัง คุณหมอจึงให้ อัลตร้าซาวน์ upper abdomen และตรวจเลือดเพื่อหาค่าความเสี่ยงมะเร็งตับและตับอ่อน ได้ผลดังนี้

    CEA (ค่ามะเร็งตับ) 0.72 (normal range < 4)

    CA 19-9 (ค่ามะเร็งตับอ่อน) 4 (normal range < 35)

    ผลอัลตร้าซาวน์ มีไขมันพอกตับ ส่วน ถุงน้ำดีและท่อน้ำดีปกติ ตับอ่อนปกติ ไตปกติ

    คุณหมอแจ้งว่า เป็นเพราะความเครียดหรือพบเหตุการณ์สะเทือนใจรุนแรง จะทำให้กระเพาะท้องไส้ปั่นป่วน จึงให้ยา Mirax - M , Berchlomin, Omeprazole และ ยานอนหลับ มาทาน

    และถ้ารู้สึกเจ็บแสบท้อง ผมเองจะทานกล้วยน้ำว้าด้วย และรีบนอน 4 ทุ่ม ตื่น 7 โมง

    ตอนนี้ผ่านไป 1 สัปดาห์ ผมทานยาอย่างเคร่งครัด และพยายามทานอาหารให้ตรงเวลา เคี้ยวนาน และสังเกตุอาการตัวเองได้ดังนี้

    • ความเครียด วิตกกังวลยังมีอยู่
    • อาการปวดแน่นท้องยังมีอยู่ก่อนและหลังอาหาร ส่วนอาการแน่นจนเบียดซี่โครง และ เจ็บจี้ดทะลุหลังนั้นไม่ค่อยมีแล้ว (ยายังต้องทานติดต่อกันอีกสัปดาห์ โดยนัดหมออีกที เดือนหน้า)
    • น้ำหนักลด จากช่วงต้นเดือน ม.ค. 106 กก. - ปัจจุบัน 101 กก. ผมคุมอาหาร และทานน้อยลง และเลิกทานจุกจิก
    • เมื่อ 2-3 วันก่อน คลำใต้รักแร้ซ้ายเจ็บ แสบร้อน ประมาณ 1 วันแล้วหายเอง และเมื่อวานคลำข้างขวา เจ็บเหมือนอักเสบตรงต่อมน้ำเหลืองข้างซี่โครงขวา ตอนนี้ไม่ค่อยเจ็บแล้ว (ไม่บวม)
    • ข้างลิ้นทั้ง 2 ข้าง จะมีวงขาวเล็กๆ อยู่ ซึ่งวงจะขยายใหญ่ และหายไปเองภายใน 2 - 3 วัน แล้วก็จะมีวงขาวๆขึ้นใหม่อีก เป็นแบบนี้มา 1 เดือนแล้ว

    ตอนนี้ที่กังวลคิดไม่ตก มี 3 เรื่อง จึงอยากสอบถามดังนี้

    1. อาการปวดท้องจากโรคกระเพาะ โดยทั่วไปถ้าเริ่มทานยาแล้ว ใช้เวลาประมาณกี่สัปดาห์ควรหายครับ
    2. วงขาวๆที่ลิ้นอันตรายหรือไม่ และเกิดจากอะไรได้บ้าง เพราะดูตามเวป มันเกิดได้จากภูมิต้านทานตก/อักเสบช่องท้อง/ร้อนใน ผมกลัวว่ามันเป็นผลข้างเคียงจากอาการอื่นๆหรือไม่? หรือเพราะการทานยาทานยาต้านไวรัส Vilerm 400 mg ติดต่อกันเป็นเวลานานครับ
    3. จากที่เล่ามา อาการของผมอันตรายไหมครับ? ผลเลือดและอัลตร้าซาวน์เพียงพอหรือไม่ และผมควรรีบไปตรวจร่างกาย ct scan หาสาเหตุอื่นๆ เลยมั้ยครับ (นัดหมอทางเดินอาหาร เดือนหน้า / หมอมะเร็งอีก 2 เดือน)

    ขอบคุณมากครับ

    NACH25  พญ.นรมน
    แพทย์

     สวัสดีค่ะคุณ NACH25

    อาการปวดท้องจากโรคกระเพาะอาหารอักเสบนั้นมักจะค่อยๆทุเลาลงเมื่อได้รับยาลดกรดประมาณ 2 สัปดาห์ หลังกินยาครบ 2 สัปดาห์ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการ และควรปรับเปลีย่นพฤติกรรมด้วย เช่นควรรับประทานอาหารอ่อนๆสุกสะอาดและรับประทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่นอนหลังรับประทานอาหารทันที  และหลีกเลี่ยงอาหารที่รับประทานแล้วทำให้เป็นมากขึ้น ในบางคนอาจเป็นพวกอาหารเผ็ด อาหารรสจัด หรือน้ำอัดลม ก็ให้หลีกเลี่ยงไป

    วงขาวๆที่ลิ้นนั้นจากยาที่ได้เป็นยาต้านไวรัสกลุ่มเชื้อเริม ซึ่งเริมมักไม่ได้ก่อให้เกิดวงขาวที่ลิ้น วงขาวที่ลิ้นอาจมีสาเหตุจากการติดเชื้อรา ซึ่งเกิดได้ในผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน ควรไปพบแพทย์เพื่อขูดตรวจดูว่ามีเชื้อราหรือไม่ และเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป สาเหตุอื่นๆเช่นเป็นคราบขาวจากการรักษาความสะอาดที่ปากไม่ดี หรือโรคผิวหนังไลเคนพลานัสเป็นต้น

    ส่วนอาการดังที่กล่าวมานั้น เป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่ง ซึ่งควรได้รับการรักษาต่อเนื่องด้วยยาเคมีบำบัดหรือยาแบบภูมิคุ้มกันบำบัด  ตามที่แพทย์เห็นสมควร ร่วมกับตรวจติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ ไม่จำเป็นต้องไปก่อนนัด ถ้าไม่ได้มีอาการผิดปกติ 

    อ่านเพิ่มเเติม

    https://www.pobpad.com/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87