ถุงน้ำดีอักเสบ

ความหมาย ถุงน้ำดีอักเสบ

ถุงน้ำดีอักเสบ (Choleycystitis) คือ ภาวะที่เกิดการอักเสบของถุงน้ำดี ส่วนใหญ่เกิดจากการอุดตันของน้ำดี ส่งผลให้ถุงน้ำดีบวมและอักเสบ อาจทำให้เกิดอาการเวียนหัว คลื่นไส้ มีไข้ อาการคล้ายโรคดีซ่าน และปวดบริเวณด้านขวาบนของท้อง โดยอาจรู้สึกปวดไปถึงไหล่และหลังได้ โดยอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง

ถุงน้ำดีเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ช่วยย่อยอาหาร โดยเฉพาะสารอาหารจำพวกไขมัน ถุงน้ำดีมีขนาดเล็กคล้ายลูกแพร์ อยู่บริเวณท้องด้านขวาใกล้ตับ น้ำดีจะไหลผ่านถุงน้ำดีไปยังลำไส้เล็ก หากถุงน้ำดีอักเสบจำเป็นต้องได้รับการรักษาทันที เนื่องจากอาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรัง หรือเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

Choleycystitis

สาเหตุถุงน้ำดีอักเสบ

สาเหตุที่ทำให้เกิดถุงน้ำดีเกิดการอักเสบมีดังต่อไปนี้

ถุงน้ำดีอักเสบที่เกิดจากนิ่ว (Calculous Cholecystitis)
นิ่วในถุงน้ำดีเป็นสาเหตุที่พบได้มาก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแบบเฉียบพลัน นิ่วในถุงน้ำดีเกิดจากการสะสมของไขมันและเกลือที่อยู่ในน้ำดี โดยนิ่วจะเข้าไปอุดตันในท่อถุงน้ำดี ทำให้น้ำดีไม่สามารถไหลผ่านได้และสะสมอยู่ภายในถุงน้ำดี ส่งผลให้ถุงน้ำดีบวมและเกิดการอักเสบ ทั้งนี้ ผู้ป่วยประมาณ 1 ใน 5 ยังติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย

ถุงน้ำดีอักเสบจากสาเหตุอื่น (Acalculous Cholecystitis)
สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการอักเสบที่ถุงน้ำดีพบได้ไม่บ่อยนัก โดยมักเป็นสาเหตุที่ค่อย ๆ เกิดขึ้น และมักร้ายแรง รักษาหายช้ากว่านิ่วในถุงน้ำดี และพบภาวะแทรกซ้อนตามมามากกว่า โดยสาเหตุอื่น ๆ ประกอบด้วย

  • ประสบภาวะแทรกซ้อนจากปัญหาสุขภาพอื่น เช่น เบาหวาน หรือติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งส่งผลให้ถุงน้ำดีบวม
  • เกิดเนื้องอกที่ตับหรือตับอ่อน โดยเนื้องอกจะกั้นไม่ให้น้ำดีไหลออกจากถุงน้ำดี ส่งผลให้น้ำดีขังอยู่ภายในถุงน้ำดี และเกิดการอักเสบได้
  • ติดเชื้อในกระแสเลือด
  • เลือดไหลไปเลี้ยงถุงน้ำดีได้น้อย ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัดใหญ่
  • ได้รับบาดเจ็บจากการประสบอุบัติเหตุ

อาการของถุงน้ำดีอักเสบ

ผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบจะปรากฏอาการของโรค ดังนี้

  • ปวดบริเวณท้องส่วนบนด้านขวาหรือตรงกลาง ซึ่งมักปวดไม่น้อยกว่า 30 นาที โดยผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเสียด ปวดบีบ หรือปวดตุบ ๆ 
  • อาการปวดท้อง ปวดร้าวไปที่หลังหรือบริเวณใต้สะบักด้านขวา
  • อาการปวดแย่ลงเมื่อหายใจลึก ๆ
  • เกิดอาการปวดท้องหลังรับประทานอาหาร โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารในปริมาณมาก หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเยอะ
  • รู้สึกระบมที่ท้องด้านขวา ทั้งนี้ เมื่อกดบริเวณท้องจะปวดมาก และอุจจาระออกสีเทาคล้ายดินโคลน
  • ท้องอืด
  • มีไข้ขึ้นสูง
  • คลื่นไส้และอาเจียน
  • เหงื่อออก
  • เบื่ออาหาร
  • ผิวและตาขาวมีสีเหลืองคล้ายดีซ่าน

การวินิจฉัยถุงน้ำดีอักเสบ

ผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบจะได้รับการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค โดยแพทย์จะสอบถามอาการ ประวัติการรักษา และตรวจร่างกายผู้ป่วย แพทย์จะตรวจท้องส่วนบนด้านขวาว่าบวมหรือกดเจ็บหรือไม่ นอกจากนี้ แพทย์จะตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ตรวจเลือด
แพทย์จะเจาะเลือดผู้ป่วยเพื่อดูการทำงานของตับอ่อน เช่น เอนไซม์อะไมเลส (Amylase) เอนไซม์ลิเพส (Lipase) ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC) และการทำงานของตับ รวมทั้งตรวจหาการติดเชื้อหรือสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวกับถุงน้ำดี

ตรวจด้วยภาพสแกน
การตรวจถุงน้ำดีด้วยภาพสแกนประกอบด้วยการตรวจหลายประเภท ดังนี้

อัลตราซาวด์
แพทย์จะอัลตราซาวด์ท้องผู้ป่วยเพื่อดูว่าภายในถุงน้ำดีมีก้อนนิ่ว เยื่อบุหนาที่ถุงน้ำดี ปริมาณน้ำดีที่มากเกินไป หรือสัญญาณอื่น ๆ ของถุงน้ำดีอักเสบ ปรากฏหรือไม่ โดยการอัลตราซาวด์ท้องจะช่วยให้แพทย์ตรวจขนาดและรูปร่างของถุงน้ำดีผู้ป่วยได้ อีกทั้งยังเป็นวิธีในการวินิจฉัยถุงน้ำดีที่พบได้ทั่วไป

ตรวจสแกนตับและถุงน้ำดี
ตรวจสแกนตับและถุงน้ำดี (Hepatobiliary Iminodiacetic Acid Scan: HIDA Scan) คือการที่แพทย์จะตรวจลำไส้เล็กส่วนบน ถุงน้ำดี และท่อน้ำดี โดยการตรวจนี้จะช่วยแสดงภาพการผลิตและไหลเวียนของน้ำดีจากตับไปยังลำไส้เล็ก รวมทั้งปัญหาการอุดตันของน้ำดี ผู้ป่วยจะได้รับการฉีดสารทึบรังสีเข้าไปภายในร่างกาย ซึ่งสารทึบรังสีจะผสมกับเซลล์ที่ผลิตน้ำดี ทำให้เห็นภาพการไหลเวียนของน้ำดีในท่อน้ำดีได้

ตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ
แพทย์อาจให้ผู้ป่วยตรวจอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เอกซเรย์ แบบซีทีสแกน (Computerized Tomography Scan: CT scan) หรือแบบเอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imaging: MRI) การตรวจเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยปัญหาถุงน้ำดีได้มากขึ้น

การรักษาถุงน้ำดีอักเสบ

แนวทางการรักษาถุงน้ำดีอักเสบ มีดังนี้

การรักษาเบื้องต้น
ในเบื้องต้น แพทย์จะไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ เพื่อลดการบีบตัวของหูรูดที่ถุงน้ำดี ลดการระบายสารต่าง ๆ ออกมา รวมทั้งช่วยให้ถุงน้ำดีไม่ทำงานหนัก และจะเจาะเลือดให้น้ำเกลือเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ให้ยาแก้ปวดผ่านทางหลอดเลือดดำ เพื่อบรรเทาอาการปวดจากการอักเสบ กรณีที่เกิดการติดเชื้อ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะรักษาร่วมด้วย 

โดยผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเบื้องต้นติดต่อกันหลายสัปดาห์ ซึ่งระหว่างที่รับการรักษาอาจอยู่จะที่โรงพยาบาลหรือกลับไปพักรักษาต่อที่บ้าน เมื่ออาการดีขึ้น การรักษาถุงน้ำดีอักเสบในขั้นต้นนี้จะช่วยให้ก้อนนิ่วที่อุดตันหลุดออกมาได้ในบางครั้ง รวมทั้งไม่ทำให้อาการอักเสบแย่ลง

การผ่าตัด
ผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดทันทีในกรณีที่เกิดการอักเสบซ้ำ หรือประสบภาวะแทรกซ้อนอื่น ได้แก่ เนื้อเยื่อตาย (Gangrene) ถุงน้ำดีทะลุ ตับอ่อนอักเสบ เกิดการอุดตันที่ท่อน้ำดี หรือท่อน้ำดีอักเสบ หากเกิดอาการป่วยรุนแรง การผ่าตัดแต่ละกรณีใช้เวลามากน้อยแตกต่างกัน โดยมีระยะฟื้นตัวใช้เวลาประมาณ 2–3 สัปดาห์ การผ่าตัดถุงน้ำดีอักเสบแบ่งออกเป็นการผ่าตัดส่องกล้อง และการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง

ผู้ป่วยที่ผ่าตัดถุงน้ำดีออกไปสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยไม่ได้รับผลกระทบระยะยาวจากการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยอาจได้รับผลข้างเคียงขณะพักฟื้นตัว ซึ่งเป็นผลข้างเคียงชั่วคราวเท่านั้น ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดถุงน้ำดีอักเสบที่พบได้ทั่วไป มีดังนี้

  • เกิดอาการบวม ฟกช้ำ และปวดแผลประมาณ 2–3 วัน ผู้ป่วยจะได้รับยาแก้ปวด เพื่อช่วยบรรเทาอาการ
  • รู้สึกไม่สบาย ซึ่งเป็นผลจากการได้รับยาสลบหรือยาแก้ปวด
  • ปวดท้องและไหล่ เนื่องจากเกิดแก๊สในท้อง 
  • ท้องอืด ท้องร่วง และมีลมในท้อง ซึ่งจะเกิดอาการดังกล่าวประมาณ 2–3 สัปดาห์ ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงและรับประทานยาตามแพทย์สั่ง เพื่อหลีกเลี่ยงอาการถ่ายเหลว

นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรไปตัดไหมหลังผ่าตัดแล้วไม่เกิน 7-10 วัน ในกรณีที่แพทย์ใช้ไหมชนิดที่ไม่สลายเย็บแผลผ่าตัดให้ ระหว่างพักรักษาตัว ผู้ป่วยดูแลตัวเองได้ ดังนี้

  • รับประทานอาหารตามปกติ โดยเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วนทุกมื้อ
  • ออกกำลังกายเบา ๆ ตามเหมาะสม เช่น ออกกำลังกายด้วยการเดิน ไม่ควรหักโหมจนเกินไป รวมทั้งปรึกษาแพทย์เมื่อต้องการกลับไปออกกำลังกายที่ต้องออกแรงมาก
  • ควรขับรถหลังผ่านไป 1 สัปดาห์  ลองดูว่าตนเองสามารถคาดเข็มขัดและขับรถได้อย่างปลอดภัยโดยไม่เกิดอาการกลัวเมื่อต้องขับจริง

ภาวะแทรกซ้อนของถุงน้ำดีอักเสบ

ผู้ป่วยถุงน้ำดีอักเสบที่เข้ารับการรักษาช้า หรือไม่ได้รับการรักษา อาจประสบภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยภาวะแทรกซ้อนของถุงน้ำดี มีดังนี้

  • ติดเชื้อที่ถุงน้ำดี การอุดตันของน้ำดีภายในถุงน้ำดีส่งผลให้ถุงน้ำดีอักเสบ ทั้งนี้อาจทำให้ถุงน้ำดีเกิดการติดเชื้อ มีหนอง และอาจเกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis)
  • เนื้อเยื่อในถุงน้ำดีตาย (Gangrene) ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาให้หาย อาจประสบภาวะเนื้อเยื่อในถุงน้ำดีตาย โดยภาวะดังกล่าวอาจทำให้ถุงน้ำดีทะลุ หรือเกิดภาวะถุงน้ำดีแตกได้ ทั้งนี้ ภาวะเนื้อเยื่อในถุงน้ำดีตายจะก่อให้เกิดการติดเชื้อร้ายแรง ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย
  • ถุงน้ำดีทะลุ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อตรงถุงน้ำดี หรือถุงน้ำดีบวมโตจนมีขนาดใหญ่มาก มีโอกาสเสี่ยงถุงน้ำดีทะลุได้ หากผู้ป่วยประสบภาวะถุงน้ำดีทะลุอาจเกิดการติดเชื้อภายในท้องหรือภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ รวมทั้งทำให้เกิดหนองและกลายเป็นฝี
  • ตับอ่อนอักเสบ ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาถุงน้ำดี จะประสบภาวะแทรกซ้อนโดยป่วยเป็นตับอ่อนอักเสบได้
  • มะเร็งถุงน้ำดี โรคนี้ถือเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ไม่บ่อยนัก ซึ่งคิดเป็น 1 ในหนึ่ง 10,000 คน ผู้ป่วยที่มีประวัติป่วยเป็นนิ่วในถุงน้ำดีเสี่ยงเกิดมะเร็งถุงน้ำดีได้สูง โดยผู้ป่วยจะเกิดอาการของโรคคล้ายปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดีอื่น ๆ ได้แก่ ปวดท้อง ไข้ขึ้นสูงประมาณ 38 องศาเซลเซียสหรือมากกว่านั้น รวมทั้งตัวเหลืองคล้ายเป็นดีซ่าน ผู้ป่วยมะเร็งถุงน้ำดีจะได้รับการรักษาด้วยการทำเคมีบำบัดและฉายรังสี

การป้องกันถุงน้ำดีอักเสบ

การป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีซึ่งเป็นสาเหตุของถุงน้ำดีอักเสบ จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงป่วยเป็นถุงน้ำดีอักเสบได้ ด้วยวิธีต่อไปนี้

  • ลดน้ำหนัก ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปเสี่ยงเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้สูง เนื่องจากปริมาณคอเลสเตอรอลในน้ำดีมีมากขึ้น ส่งผลให้เกิดก้อนนิ่ว จึงควรลดน้ำหนักตัวเพื่อลดโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ำดี โดยค่อย ๆ ลด ตั้งเป้าลดน้ำหนักสัปดาห์ละ 0.5-1 กิโลกรัม ไม่ควรหักโหมลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลต่อสารเคมีในร่างกาย และกระตุ้นให้เกิดก้อนนิ่วได้เช่นกัน
  • รักษาน้ำหนักตัว ควรรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่อ้วนหรือผอมจนเกินไป โดยเลือกรับประทานอาหารให้สมดุลและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ลดปริมาณพลังงานของอาหารที่รับประทานให้พอเหมาะ รวมทั้งทำกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่ดี ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชต่าง ๆ เนื่องจากอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและมีกากใยต่ำจะทำให้เสี่ยงเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มให้น้อยลง อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้

ผู้ที่มีอาการปวดท้องเฉียบพลันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะหากมีอาการร่วมอื่น ๆ ที่กล่าวมาด้วย ควรพบแพทย์ทันที เนื่องจากโรคถุงน้ำดีอักเสบควรได้รับการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคและรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ นอกจากนี้ผู้ที่ไม่มีอาการ ควรรักษาสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ