น้ำท่วมปอด (Pulmonary Edema)

ความหมาย น้ำท่วมปอด (Pulmonary Edema)

น้ำท่วมปอด (Pulmonary Edema) หรือปอดบวมน้ำ เป็นภาวะที่เกิดจากการมีของเหลวในถุงลมปอดมากผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยหายใจลำบากหรือหายใจไม่อิ่มเนื่องจากขาดออกซิเจน โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น หัวใจผิดปกติ ปอดบวมติดเชื้อ สัมผัสกับสารพิษหรือการใช้ยาบางชนิด เป็นต้น ส่วนการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ ซึ่งหากเกิดภาวะน้ำท่วมปอดแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

1626 น้ำท่วมปอด resized

อาการของน้ำท่วมปอด

น้ำท่วมปอดมีอยู่หลายชนิด โดยอาการจะแตกต่างกันไป ดังนี้

อาการของน้ำท่วมปอดชนิดเรื้อรัง

  • หายใจไม่อิ่มขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ
  • หายใจมีเสียงครืดคราดหรือมีเสียงหวีด
  • หายใจลำบากเมื่อต้องออกแรง หรือหายใจลำบากเมื่อนอนราบ
  • ตื่นนอนกลางดึกเพราะหายใจลำบาก ซึ่งอาจต้องลุกขึ้นนั่งเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น
  • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหากมีสาเหตุมาจากภาวะหัวใจวาย
  • อ่อนเพลีย หรือมีอาการบวมที่ขาและเท้า

อาการของน้ำท่วมปอดชนิดเฉียบพลัน

  • หายใจไม่อิ่มอย่างรุนแรง หรือหายใจลำบากเมื่อนอนลง
  • หอบ หรือรู้สึกเหมือนจมน้ำ
  • หายใจมีเสียงหรือหายใจลำบาก
  • กระสับกระส่าย สับสน วิตกกังวล
  • ไอมีเสมหะเป็นฟองสีชมพู
  • เจ็บหน้าอกหากมีสาเหตุมาจากโรคหัวใจ
  • ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว

ทั้งนี้ หากพบว่ามีอาการน้ำท่วมปอดระยะเฉียบพลัน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

อาการของน้ำท่วมปอดจากการขึ้นที่สูง

  • ปวดศีรษะ ซึ่งอาจเป็นอาการแรกที่เกิดขึ้น
  • มีไข้ ไอ ไอมีเสมหะหรืออาจมีเลือดปน
  • หายใจไม่อิ่มหลังจากออกแรง ซึ่งจะเกิดอาการเมื่อหยุดพัก
  • เดินขึ้นเนินหรือที่สูงได้ยากลำบาก
  • ใจสั่น หรือหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ
  • เจ็บหน้าอก

ทั้งนี้ หากขึ้นที่สูงแล้วทำให้เกิดอาการอย่างเจ็บหน้าอก มีไข้ ปวดศีรษะ ไอ ไอมีเสมหะปนเลือด หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ หายใจไม่อิ่ม มีปัญหาเมื่อเดินขึ้นที่สูงและเกิดความผิดปกติเมื่อกลับมาเดินในที่ราบ ควรรีบไปพบแพทย์

นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรสังเกตอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน และควรไปพบแพทย์หากพบอาการดังต่อไปนี้

  • หายใจติดขัดอย่างรุนแรง หายใจไม่อิ่ม และหายใจไม่ออก
  • มีอาการวิตกกังวลที่เกิดจากความผิดปกติในการหายใจ
  • เหงื่อออกพร้อมกับหายใจลำบาก
  • เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ
  • ผิวหนังเปลี่ยนสีเป็นสีเทาหรือม่วง
  • ไอพร้อมกับมีเสมหะปนเลือดหรือเป็นฟอง

สาเหตุของน้ำท่วมปอด

โดยทั่วไปน้ำท่วมปอดจะมีสาเหตุมาจากภาวะหัวใจล้มเหลว หรืออาจเกิดจากหัวใจห้องล่างซ้ายไม่สามารถสูบฉีดเลือดที่มาจากปอดไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้ตามปกติ ซึ่งภาวะดังกล่าวทำให้เกิดแรงดันเพิ่มขึ้นและย้อนกลับไปที่ปอด นอกจากนั้น ภาวะหลอดเลือดแดงตีบ กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม ลิ้นหัวใจผิดปกติ และความดันโลหิตสูง ก็สามารถทำให้หัวใจห้องล่างซ้ายทำงานบกพร่องได้

ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมปอด ได้แก่

  • ลิ่มเลือดอุดตัน
  • กลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (Acute Respiratory Distress Syndrome: ARDS)
  • การสัมผัสกับแอมโมเนีย คลอรีน หรือสารพิษอื่น ๆ
  • การสูดควันที่มีส่วนประกอบของสารเคมีบางชนิด
  • สมองหรือระบบประสาทบาดเจ็บหรือเกิดบาดแผล
  • ปอดเกิดการบาดเจ็บหลังจากรักษานำลิ่มเลือดออกไป
  • การติดเชื้อไวรัส
  • จมน้ำ
  • ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด
  • การอยู่ในที่สูงหรือขึ้นที่สูงประมาณ 8,000 ฟุต
  • โรคหัวใจ หรือภาวะหัวใจขาดเลือด
  • ความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน
  • ปอดบวม
  • ตับอ่อนอักเสบ
  • ไตวาย
  • ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรง หรือเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อ

การวินิจฉัยน้ำท่วมปอด

เนื่องจากภาวะน้ำท่วมปอดมักต้องรักษาอย่างทันท่วงที การวินิจฉัยเบื้องต้นจึงเป็นการสังเกตอาการที่เกิดขึ้นและตรวจร่างกาย เมื่ออาการทรงตัว แพทย์จะถามถึงประวัติการเจ็บป่วยและโรคประจำตัว รวมถึงอาจทดสอบด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อช่วยในการวินิจฉัย เช่น

  • การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง
  • การตรวจระดับออกซิเจนในเลือด
  • การตรวจเอ็กโคคาร์ดีโอแกรม (Echocardiogram) หรืออัลตร้าซาวด์เพื่อหาความผิดปกติของหัวใจ
  • การเอกซเรย์ปอด
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อตรวจดูความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจ หรือตรวจหาสัญญาณของภาวะหัวใจขาดเลือด

การรักษาน้ำท่วมปอด

การรักษาภาวะน้ำท่วมปอดจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ แต่ในเบื้องต้นหากผู้ป่วยมีปัญหาในการหายใจและมีระดับออกซิเจนในร่างกายต่ำ แพทย์อาจให้ออกซิเจนโดยให้ผู้ป่วยใช้หน้ากากออกซิเจนหรือสอดท่อออกซิเจนเข้าไปในรูจมูก ซึ่งแพทย์จะเฝ้าดูอาการและรักษาระดับออกซิเจนในร่างกายของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และหากน้ำท่วมปอดจากสาเหตุอื่น ๆ แพทย์ก็จะรักษาภาวะดังกล่าวและรักษาน้ำท่วมปอดไปพร้อมกัน

ส่วนยาที่ใช้รักษาภาวะน้ำท่วมปอด มีดังนี้

  • กลุ่มยาลดแรงดันที่เกิดจากของเหลวเข้าไปในหัวใจและปอด เช่น ยาไนโตรกลีเซอริน และยาขับปัสสาวะฟูโรซีไมด์ เป็นต้น
  • กลุ่มยาขยายหลอดเลือดและลดความดันในหัวใจห้องล่างซ้าย เช่น ยาไนโตรปรัสไซด์ เป็นต้น
  • มอร์ฟีน ซึ่งอาจนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการหายใจไม่อิ่มและอาการวิตกกังวล แต่แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาชนิดอื่นมากกว่า
  • ยารักษาความดันโลหิต แพทย์อาจให้ใช้ยาลดความดันโลหิตสำหรับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงจากน้ำท่วมปอด หรือให้ยาเพื่อเพิ่มความดันโลหิตในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตต่ำ

นอกจากนี้ หากน้ำท่วมปอดเกิดจากการอยู่บนที่สูง กรณีที่ผู้ป่วยปีนป่ายหรือไปท่องเที่ยวบนที่สูง ด้วยความสูงประมาณ 600-900 เมตร ก็อาจทำให้เกิดอาการได้ โดยควรรักษาและบรรเทาอาการ ดังนี้

  • ลดระดับความสูงเพื่อช่วยลดอาการเบื้องต้น หากมีอาการป่วยรุนแรง จำเป็นต้องมีผู้ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยลงมายังที่ต่ำโดยเร็วที่สุด
  • หยุดทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงและทำให้ร่างกายอบอุ่น เพื่อป้องกันอาการแย่ลง
  • บางกรณีอาจต้องให้ออกซิเจนหรือเครื่องช่วยหายใจกับผู้ป่วย เพื่อเพิ่มระดับออกซิเจนในร่างกายหรือเพิ่มอากาศเข้าไปในปอดให้มากขึ้น
  • ใช้ยาไนเฟดิปีน เพื่อช่วยลดความดันของหลอดเลือดในปอด ซึ่งจะช่วยให้อาการดีขึ้น
  • นักปีนเขาบางรายมักใช้ยาเพื่อป้องกัันและรักษาอาการจากการปีนขึ้นที่สูง เช่น ยาอะเซตาโซลาไมด์ หรือยาไนเฟดิปีน เป็นต้น โดยการใช้ยาสำหรับป้องกันอาการ ให้เริ่มใช้ยาอย่างน้อย 1 วันก่อนไปปีนเขา

ภาวะแทรกซ้อนของน้ำท่วมปอด

ภาวะแทรกซ้อนของน้ำท่วมปอดขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ซึ่งส่วนใหญ่หากอาการไม่รุนแรงและได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็จะสามารถฟื้นฟูร่างกายได้เป็นปกติ

แต่หากอาการป่วยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลให้เกิดความดันหลอดเลือดปอดสูง อาจทำให้หัวใจห้องล่างอ่อนแอลงและทำงานล้มเหลวได้ในที่สุด เพราะผนังกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างขวาจะบางกว่าห้องซ้าย และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นตามมาได้ เช่น

  • มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด
  • ตับคั่งและบวม
  • แขน ขา และท้องบวม

ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือได้รับการรักษาช้าอาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ส่วนผู้ป่วยบางรายที่เป็นน้ำท่วมปอดระยะเฉียบพลันก็อาจถึงแก่ชีวิตได้แม้ได้รับการรักษาแล้วก็ตาม
การป้องกันน้ำท่วมปอด

เนื่องจากน้ำท่วมปอดเป็นภาวะที่ไม่สามารถป้องกันได้ ดังนั้น ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต้องได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดอาการ

อย่างไรก็ตาม การป้องกันในเบื้องต้นที่พอจะช่วยได้สามารถทำได้โดยรับวัคซีนป้องกันปอดบวม หรือวัคซีนป้องกันไข้หวัด โดยเฉพาะผู้ที่มีหัวใจผิดปกติหรือผู้สูงอายุ ซึ่งหลังจากเกิดอาการ ผู้ป่วยควรใช้ยาขับปัสสาวะตามที่แพทย์สั่งเพื่อป้องกันการเกิดอาการซ้ำ

นอกจากนั้น สามารถลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจวายหรือโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมปอดที่พบได้บ่อย ด้วยการดูแลตนเอง ดังนี้

  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยรับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืชในปริมาณมาก
  • รับประทานเกลืิอให้น้อย
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ควบคุมระดับความดันโลหิต และตรวจระดับคอเลสเตอรอลอยู่เสมอ
  • สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก ให้พยายามลดน้ำหนักตัว หรือรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หลีกเลี่ยงการเผชิญความเครียด
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือการใช้ยาเสพติด
  • หากมีปัญหาสุขภาพ ให้ไปพบแพทย์ตามนัดหมายเป็นประจำ