พิษจากสารตะกั่ว (Lead Poisoning) หรือภาวะตะกั่วเป็นพิษ เป็นภาวะที่ร่างกายสะสมสารตะกั่วในปริมาณมากเป็นเวลานานจนกระทบต่ออวัยวะส่วนต่าง ๆ เช่น สมอง เส้นประสาท เลือด ไต ระบบย่อยอาหาร และสืบพันธุ์ ภาวะนี้จัดเป็นภาวะรุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
พิษจากสารตะกั่วอาจทำให้เกิดอาการที่ต่างกันไป แต่มักเป็นอันตรายต่อเด็กมากกว่าช่วงวัยอื่น เนื่องจากเด็กสามารถดูดซึมสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่าผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันก็ยังขับสารตะกั่วออกจากร่างกายได้น้อยกว่าด้วยเช่นกัน
อาการของพิษจากสารตะกั่ว
ผู้ที่ได้รับพิษจากสารตะกั่วในปริมาณต่ำอาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่หากเกิดการสะสมสารตะกั่วในร่างกายจนมีปริมาณสูง ผู้ป่วยอาจปรากฏอาการที่แตกต่างกันไปตามช่วงวัยและอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ เช่น
พิษจากสารตะกั่วในเด็กและทารกแรกเกิด
สารตะกั่วแม้ในปริมาณต่ำอาจส่งผลต่อร่างกาย จิตใจ และพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก โดยทารกอาจมีปัญหาคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อยตอนแรกเกิด หรือเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ ส่วนเด็กโตอาจพบอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ขมในปาก และท้องผูก
นอกจากนี้ เด็กอาจเผชิญภาวะปัญญาอ่อนหรือการบกพร่องทางสติปัญญา ทำให้มีปัญหาด้านพฤติกรรม มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ไอคิวต่ำ หรือมีปัญหาในการฟัง
พิษจากสารตะกั่วในผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่อาจมีอาการปวดท้อง ปวดศีรษะ ปวดข้อต่อและกล้ามเนื้อ ความดันโลหิตสูง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ชาหรืออ่อนแรงบริเวณขาหรือเท้า โลหิตจาง มีปัญหาด้านความจำ ไม่มีสมาธิ อารมณ์หงุดหงิด ก้าวร้าว ไตทำงานผิดปกติ อสุจิน้อยหรือผิดปกติ มีความต้องการทางเพศลดลง ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก
สำหรับสตรีมีครรภ์ที่ได้รับพิษจากสารตะกั่วอาจเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ภาวะตายคลอด (Stillbirth) และคลอดก่อนกำหนด ภาวะนี้ยังอาจส่งผลให้ระบบสมอง ไต และเส้นประสาทของทารกในครรภ์ถูกทำลายอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่าตนเองได้รับสารตะกั่วในปริมาณมากหรือมีอาการเข้าข่ายเป็นพิษจากสารตะกั่ว ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะการสะสมของสารตะกั่วในปริมาณสูงมากอาจก่อให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิต และผู้ป่วยเองก็อาจมีอาการแสดงไม่ชัดเจนมากนัก
สาเหตุของพิษจากสารตะกั่ว
พิษจากสารตะกั่วเป็นผลมาจากการสูดดม รับประทาน สัมผัส หรือดูดซึมสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย โดยสารโลหะหนักชนิดนี้อาจปนเปื้อนอยู่ในธรรมชาติ สภาพแวดล้อมโดยรอบ อาหารและน้ำดื่ม และผ่านการทำงานบางประเภทที่เกี่ยวข้องกับสารตะกั่ว โดยแหล่งของสารตะกั่วที่มักพบได้ เช่น
- อากาศ ดิน และแหล่งน้ำธรรมชาติที่ใกล้เหมืองแร่ที่มีการปนเปื้อน
- สีทาบ้านผสมสารตะกั่ว โดยเฉพาะบ้านที่สร้างก่อนปี พ.ศ. 2521
- สีเคลือบหรือสีทาของเล่นและข้าวของเครื่องใช้ โดยเฉพาะที่ผลิตก่อนปี พ.ศ. 2519
- อาหารอย่างปลาและกุ้ง รวมถึงอาหารเสริม สมุนไพร หรือยาสมุนไพรบางประเภทที่ผลิตจากแหล่งที่มีการปนเปื้อนของสารตะกั่ว
- ท่อน้ำหรือข้อต่อที่มีส่วนผสมของสารตะกั่ว และตู้ทำน้ำเย็นที่ไม่มีคุณภาพอาจทำให้ตะกั่วปนเปื้อนในน้ำประปา
- การทำงานในเหมืองแร่หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ตะกั่วเป็นส่วนประกอบ เช่น แบตเตอรี่ คอมพิวเตอร์ เซรามิค เครื่องปั้นดินเผา หรืออัญมณี
- หัวกระสุนตะกั่วที่ค้างอยู่ในร่างกาย
ทั้งนี้ เด็กที่ได้รับสารตะกั่วมักมีสาเหตุมาจากการสัมผัสและนำเศษสีทาบ้าน สีเคลือบของเล่นที่มีส่วนประกอบของสารตะกั่ว สิ่งของเครื่องใช้ หรืองานไม้เก่า ๆ ที่ปนเปื้อนสารตะกั่วเข้าปากโดยไม่รู้ตัว
การวินิจฉัยพิษจากสารตะกั่ว
แพทย์มักทดสอบหาสารตะกั่วในร่างกายจากการตรวจเลือด โดยปริมาณสารตะกั่วเพียง 5 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร (mcg/dL) ก็อาจไม่ปลอดภัย และก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในเด็กได้ แพทย์จึงอาจนัดหมายให้ผู้ป่วยมาทำการทดสอบซ้ำเป็นระยะ
ทั้งนี้ เด็กที่มีปริมาณสารตะกั่วประมาณ 45 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตรหรือมากกว่า และผู้ใหญ่ที่มีปริมาณสารตะกั่ว 80–100 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร หรือมีปริมาณสารตะกั่ว 50 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตรแต่มีอาการที่รุนแรง ควรเข้าสู่กระบวนการรักษาและกำจัดสารพิษโดยเร็ว
นอกจากนี้ วิธีการอื่น ๆ ที่แพทย์นำมาใช้ในการทดสอบหาสารตะกั่วหรือวินิจฉัยพิษจากสารตะกั่ว เช่น การเอกซเรย์ (X-Ray) หรือการเจาะเนื้อเยื่อไขกระดูก (Bone Marrow Biopsy)
การรักษาพิษจากสารตะกั่ว
ในขั้นแรกผู้ป่วยอาจต้องปรับพฤติกรรมหรือปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อหยุดหรือป้องกันสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย โดยวิธีอาจต่างกันไปขึ้นอยู่กับต้นตอของสารตะกั่วที่ผู้ป่วยได้รับ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจต้องรักษาด้วยกำจัดสารพิษ (Chelation Therapy) ซึ่งเป็นการกำจัดสารตะกั่วและขับออกจากร่างกายด้วยยาบางชนิด เช่น
- ยา DMSA (Dimercaptosuccinic Acid) ในรูปแบบยารับประทาน ใช้กับเด็กและผู้ใหญ่ที่มีปริมาณตะกั่วสูงหรือมีอาการของพิษจากสารตะกั่ว แต่ตัวยาอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ไม่สบายท้อง หรืออาการแพ้ยา
- ยา EDTA (Edetate Disodium) ในรูปแบบยาฉีด จะเหมาะกับผู้ใหญ่ที่มีปริมาณสารตะกั่วสูง และเด็กที่ใช้ยาคีเลชั่นแบบปกติไม่ได้ ทว่ายานี้อาจส่งผลให้ไตทำงานผิดปกติ
ทั้งนี้ ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาที่เหมาะสมเป็นดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแลทั้งหมด หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์เสมอ
ภาวะแทรกซ้อนของพิษจากสารตะกั่ว
ผู้ใหญ่ที่ได้รับสารตะกั่วแค่ปานกลางอาจไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดตามมาหากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม แต่สำหรับเด็กอาจเกิดความบกพร่องทางสติปัญญาอย่างถาวรหรือกระทบต่อพัฒนาการของสมองได้แม้มีปริมาณสารตะกั่วในระดับต่ำ
หากร่างกายมีปริมาณสารตะกั่วสูงขึ้นอาจส่งผลให้ไตและเส้นประสาทถูกทำลาย และหากสารตะกั่วมีปริมาณสูงมากอาจทำให้ชัก หมดสติ และเสี่ยงต่อการเสียชีวิต
การป้องกันพิษจากสารตะกั่ว
การลดความเสี่ยงของการได้รับสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายทำได้โดยการปรับพฤติกรรมและระมัดระวังในการใช้ชีวิตประจำวันเสมอ เช่น
- หากอยู่ใกล้แหล่งปนเปื้อนสารตะกั่ว ควรหมั่นทำความสะอาดบ้านหรือพื้นผิวสิ่งของในบ้าน เพราะอาจมีฝุ่นที่ปนเปื้อนสารตะกั่วเกาะอยู่ และควรถอดร้องเท้าก่อนเข้าสู่ตัวบ้าน เพื่อป้องกันสารตะกั่วที่มากับเศษดินหรือสิ่งสกปรกใต้พื้นรองเท้า
- ตรวจสภาพบ้านเป็นประจำ หากพบสีทาบ้านเก่าหลุดลอกไม่ควรใช้มือเปล่าสัมผัส ควรปรึกษาช่างหรือผู้เชี่ยวชาญในการลอกสีเก่าและทาสีใหม่อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะบ้านที่ถูกสร้างมาเป็นเวลานาน
- ล้างมือให้สะอาด
- ฝึกให้เด็กล้างมือบ่อย ๆ ทั้งหลังเล่นของเล่นและก่อนรับประทานอาหาร และควรทิ้งหรือเก็บของเล่นและเครื่องใช้ที่ชำรุดหรือมีสีเคลือบหลุดลอกให้ห่างจากมือเด็ก เพื่อป้องกันเด็กนำมือที่อาจสัมผัสสารตะกั่วเข้าปาก
- เลือกซื้ออาหาร ยาสมุนไพร หรืออาหารเสริมจากผู้ขายหรือผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ โดยอาจสังเกตจากเครื่องหมายที่ผ่านการรับรองจากทางอย. และควรอ่านฉลากให้ละเอียดก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุ และเด็ก
- หมั่นตรวจสอบและทำความสะอาดท่อน้ำเก่าอยู่เสมอหากจำเป็นต้องใช้หรือไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ท่อน้ำใหม่ที่ไร้สารตะกั่วได้
- สวมชุดและอุปกรณ์ป้องกันตัวเองให้มิดชิดหากทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมหรือเหมืองแร่ที่เสี่ยงต่อการได้รับสารตะกั่วในปริมาณมากและต่อเนื่อง หลังจากทำงานเสร็จควรทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนชุดใหม่ให้เรียบร้อยก่อนเข้าบ้านหรือไปพบผู้อื่น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และอุดมไปด้วยวิตามินซี ธาตุเหล็ก หรือแคลเซียม เพราะอาจช่วยลดการดูดซึมสารตะกั่วได้
- ผู้ที่อาศัยหรือทำงานอยู่ในพื้นที่ที่มีปริมาณสารตะกั่วสูงแล้วพบอาการเข้าข่ายเป็นพิษจากสารตะกั่ว ทั้งกับตนเองและคนในครอบครัว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดตั้งแต่เนิ่น ๆ