ฟีนาสเตอไรด์ (Finasteride)
Finasteride (ฟีนาสเตอไรด์) เป็นยารักษาโรคต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia: BPH) และอาจช่วยรักษาภาวะผมบาง หัวล้านจากพันธุกรรมหรือฮอร์โมนในผู้ชาย โดยแพทย์อาจใช้เป็นยาเดี่ยวหรือใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น ๆ
ยา Finasteride จะออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนเพศชายที่ส่งผลให้ต่อมลูกหมากโต และฮอร์โมนเพศชายในร่างกายที่ทำให้ผมล้าน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นได้ นอกจากนี้ อาจนำมาใช้รักษาหรือป้องกันปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์
เกี่ยวกับยา Finasteride
กลุ่มยา | ยากลุ่ม 5 Alpha Reductase Inhibitor |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาโรคต่อมลูกหมากโต และหัวล้านในผู้ชาย |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้ใหญ่ |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร | Category X ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์หรือในสตรีที่อาจตั้งครรภ์ เพราะจากการศึกษาในมนุษย์และสัตว์แสดงให้เห็นว่า ทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์มนุษย์และตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ หรือพบหลักฐานยืนยันว่า เกิดความเสี่ยงที่อันตรายต่อทารกในครรภ์ การใช้ยามีความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติสูงกว่าประโยชน์ที่อาจได้รับอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วยานี้จะใช้เฉพาะในผู้ป่วยเพศชายเป็นหลัก |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
คำเตือนในการใช้ยา Finasteride
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยา Finasteride รวมถึงยาชนิดอื่น ๆ
- ผู้ป่วยที่มีประวัติทางสุขภาพควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการใช้ยา เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก การติดเชื้อโรค ปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะ โรคตับ หรือมีค่าการทำงานของตับผิดปกติ
- ยานี้ใช้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ห้ามใช้ยานี้ในสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร รวมถึงไม่ควรใช้ยาในเด็กและผู้หญิง ยกเว้นได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรไม่ควรสัมผัสยา Finasteride ที่แตก หัก หรือถูกบด เนื่องจากตัวยาสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ และอาจส่งผลให้อวัยวะเพศของทารกเพศชายในครรภ์เกิดความผิดปกติ หากสัมผัสตัวยาโดยไม่ได้ตั้งใจ ควรรีบล้างผิวหนังบริเวณดังกล่าวด้วยน้ำและสบู่ทันที
- ยา Finasteride อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากชนิดรุนแรงหรือมะเร็งเต้านมในผู้ชาย ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ถึงประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยา
- ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือทำทันตกรรมใด ๆ ขณะใช้ยานี้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอ
- แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งในต่อมลูกหมาก (Prostate Specific Antigen: PSA) ขณะใช้ยานี้เป็นระยะ
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ยา หรือสมุนไพรบางชนิดที่ส่งผลกระทบต่อตับในระหว่างใช้ยานี้
ปริมาณการใช้ยา Finasteride
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยทั่วไป การใช้ยา Finasteride แบบเดี่ยวหรือใช้ร่วมกับยาอื่น เช่น ดอกซาโซซิน (Doxazosin) เพื่อรักษาโรคต่อมลูกหมากโตในผู้ใหญ่ แพทย์อาจเริ่มรับประทานยาในปริมาณ 5 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน
สำหรับการรักษาผมบางและหัวล้านในผู้ชาย แพทย์อาจให้เริ่มรับประทานยาในปริมาณ 1 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน ผู้ป่วยควรใช้ยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อคงประสิทธิภาพในการรักษา
การใช้ยา Finasteride
ผู้ป่วยควรใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันน้อยกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยใด ๆ หรือรู้สึกว่าอาการไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
ผู้ป่วยสามารถรับประทานยา Finasteride พร้อมอาหารหรือไม่พร้อมก็ได้ แต่ควรรับประทานในเวลาเดียวกันของทุกวัน โดยมากจะต้องใช้ยาต่อเนื่องราว 6–12 เดือน เพื่อเห็นประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุด หากผู้ป่วยลืมใช้ยา ควรใช้ยาทันทีที่นึกขึ้นได้ ห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็นสองเท่า
ในกรณีที่ผู้ป่วยหยุดใช้ยาด้วยตัวเอง ควรแจ้งให้แพทย์ เนื่องจากอาจส่งผลให้ค่าการตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งในต่อมลูกหมากเปลี่ยนแปลงไป สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาเกินปริมาณที่กำหนดอาจหมดสติหรือมีปัญหาในการหายใจ ควรไปพบแพทย์หรือนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
ปฏิกิริยาระหว่างยา Finasteride กับยาอื่น
ยา Finasteride อาจทำปฏิกิริยากับยาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ ยาที่หาซื้อได้เอง วิตามิน หรือสมุนไพรบางชนิด ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลง ผู้ป่วยที่กำลังใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนเสมอ
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Finasteride
การใช้ยาฟีนาสเตอไรด์อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น มีความต้องการทางเพศลดลง มีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ การสำเร็จความใคร่ หรือการหลั่งน้ำอสุจิ หรือปวดลูกอัณฑะ โดยผลข้างเคียงทางเพศอาจคงอยู่แม้หยุดใช้ยาแล้ว แต่มักหายดีภายใน 1 เดือน หากผู้ป่วยมีความกังวล ผลข้างเคียงจากยาไม่หายไปหรือทวีความรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาแล้วไปพบแพทย์โดยเร็ว หากพบผลข้างเคียงหรือสัญญาณอาการที่รุนแรง ดังนี้
- มีสัญญาณของอาการแพ้ยา เช่น ลมพิษ มีปัญหาในการหายใจ อาการบวมบริเวณใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น และลำคอ แต่มักพบได้น้อยมาก
- มีสัญญาณของมะเร็งเต้านมในผู้ชาย เช่น มีก้อนที่หน้าอก มีของเหลวไหลออกจากหัวนม หรือเต้านมมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
- น้ำอสุจิปนเลือด
- มีภาวะซึมเศร้า