มะเร็งกล่องเสียง

ความหมาย มะเร็งกล่องเสียง

มะเร็งกล่องเสียง (Laryngeal Cancer)  คือ โรคที่เกิดจากเซลล์หรือเนื้อเยื่อบริเวณกล่องเสียงได้รับความเสียหายและเจริญเติบโตผิดปกติ กลายเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็ง มักพบในผู้สูงอายุและพบได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิง โดยมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ รวมถึงเคยมีประวัติสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งกล่องเสียง ผู้ที่เป็นมะเร็งกล่องเสียงจะมีอาการบวมหรือพบก้อนนูนที่ลำคอ เสียงแหบ ปวดคอ ปวดหู หายใจลำบาก เป็นต้น ยิ่งตรวจพบและรักษาได้เร็วเพียงใด ผู้ป่วยก็ยิ่งมีโอกาสรอดชีวิตมากเท่านั้น

มะเร็งกล่องเสียง

อาการของมะเร็งกล่องเสียง

อาการของมะเร็งกล่องเสียงจะแตกต่างจากอาการของมะเร็งประเภทอื่น ๆ อาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • เสียงแหบ
  • รู้สึกเจ็บขณะกลืน หรือมีอาการกลืนลำบาก
  • พบก้อนนูนหรือมีอาการบวมที่ลำคอ
  • ไออย่างหนัก ไอเป็นเลือด
  • ปวดคอ ปวดหู
  • หายใจลำบาก มีเสียงหวีดในขณะหายใจ
  • น้ำหนักลดลง
  • รู้สึกเหนื่อย เมื่อยล้า

อาการข้างต้นอาจไม่ใช่สัญญาณหรืออาการของมะเร็งกล่องเสียงเสมอไป หากมีอาการต่อเนื่องนาน 1 สัปดาห์ขึ้นไป ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคและรักษาต่อไป

สาเหตุของมะเร็งกล่องเสียง

ในปัจจุบันยังไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่ามะเร็งกล่องเสียงเกิดจากสาเหตุใด มีเพียงปัจจัยเสี่ยงทำให้เซลล์ที่บริเวณกล่องเสียงได้รับความเสียหายและเจริญเติบโตขึ้นผิดปกติ กลายเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งในที่สุด ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกล่องเสียงมีดังต่อไปนี้

  • การดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ที่มีส่วนประกอบของใบยาสูบ
  • สมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งกล่องเสียง
  • การรับประทานเนื้อแดง อาหารแปรรูป อาหารทอด และรับประทานผักผลไม้ไม่เพียงพอ
  • การติดเชื้อเอชพีวี (Human Papilloma Virus) มักแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
  • การสัมผัสสารเคมีบางชนิด เช่น แร่ใยหิน ถ่านหิน ขี้เลื่อย นิกเกิล ควันของดีเซล ควันของกรดซัลฟูริก ฟอร์มาลดีไฮด์ (สารเคมีที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตสีหรือเครื่องสำอาง) ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ (สารเคมีที่เป็นตัวทำละลายในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด)
  • ปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
  • โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ (Fanconi Anemia)

การวินิจฉัยมะเร็งกล่องเสียง

หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการของมะเร็งกล่องเสียง เช่น เสียงแหบ ไออย่างหนัก แพทย์จะวินิจฉัยโดยเริ่มจากตรวจสอบประวัติทางการแพทย์ ตรวจร่างกาย สำรวจในช่องปาก ตรวจที่บริเวณลำคอว่ามีก้อนนูนหรือมีอาการบวมหรือไม่ จากนั้นอาจมีการวินิจฉัยโดยวิธีการอื่น ๆ ร่วมด้วยดังต่อไปนี้

  • การใช้กล้องส่องตรวจในโพรงจมูก (Nasal Endoscopy) โดยใช้ท่อขนาดเล็ก มีไฟส่องสว่างและกล้องอยู่ที่ปลายท่อ สอดเข้าทางรูจมูกลงไปยังลำคอ แพทย์อาจพ่นยาชาเพื่อลดระงับความรู้สึกที่บริเวณจมูกและคอก่อนการส่องกล้อง
  • การใช้กล้องส่องตรวจในกล่องเสียง (Laryngoscopy) ในกรณีที่ไม่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยวิธีการใช้กล้องส่องตรวจในโพรงจมูก ลักษณะจะคล้ายกัน เพียงแต่วิธีการนี้จะใช้ท่อที่มีขนาดยาวกว่าและสอดเข้าทางปาก อาจต้องใช้ยาสลบร่วมด้วยในขณะที่วินิจฉัยด้วยวิธีนี้
  • การตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy) โดยตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อบริเวณกล่องเสียงไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง
  • การใช้เข็มเจาะเพื่อดูดเซลล์ไปตรวจ (Needle Aspiration) ในกรณีที่พบว่าผู้ป่วยมีก้อนนูนเกิดขึ้นที่ลำคอ
  • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) การตรวจความเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี (PET Scan) หรือการอัลตราซาวด์ (Ultrasound) เพื่อหาตำแหน่งของการเกิดมะเร็งและประเมินการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง

เมื่อแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งกล่องเสียง การประเมินระยะการแพร่กระจายของมะเร็งจะเป็นขั้นตอนต่อไปที่จะเกิดขึ้น โดยจะแบ่งระยะตามขนาดของก้อนเนื้อและตำแหน่งของกล่องเสียง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

กล่องเสียงส่วนที่อยู่เหนือสายเสียง (Supraglottis)

  • ระยะ T1-มะเร็งโตขึ้น 1 แห่ง และสายเสียงขยับได้ตามปกติ
  • ระยะ T2-มะเร็งโตขึ้นและกระจายไปมากกว่า 1 แห่ง ที่สายเสียงหรือเหนือสายเสียง และสายเสียงยังคงขยับได้ตามปกติ
  • ระยะ T3-มะเร็งโตขึ้นเฉพาะที่กล่องเสียง ทำให้สายเสียงไม่สามารถขยับได้ และ/หรือมะเร็งโตขึ้นในใกล้กับบริเวณหลังกระดูกอ่อนคริคอยด์ พื้นที่ด้านข้างสายเสียง ด้านในกระดูกอ่อนไทรอยด์ เป็นต้น
  • ระยะ T4a-มะเร็งลามไปที่กระดูกอ่อนไทรอยด์ และ/หรือที่เนื้อเยื่อเหนือกล่องเสียง
  • ระยะ T4b-มะเร็งลามไปที่เนื้อเยื่อหน้ากระดูกสันหลังที่คอ รอบหลอดเลือดแดง หรือลามไปที่ปอด

กล่องเสียงส่วนสายเสียง (Glottis)

  • ระยะ T1-มะเร็งโตขึ้นที่สายเสียงและสายเสียงขยับได้ตามปกติ
  • ระยะ T2-มะเร็งกระจายไปมากกว่า 1 แห่ง ที่กล่องเสียงเหนือหรือใต้สายเสียง และ/หรือสายเสียงไม่สามารถขยับได้
  • ระยะ T3-มะเร็งโตขึ้นเฉพาะที่กล่องเสียงทำให้สายเสียงไม่สามารถขยับได้ มะเร็งลามไปที่พื้นที่ด้านข้างสายเสียง และ/หรือลามไปที่ด้านในกระดูกอ่อนไทรอยด์
  • ระยะ T4a-มะเร็งลามไปที่กระดูกอ่อนไทรอยด์ และ/หรือที่เนื้อเยื่อเหนือกล่องเสียง
  • ระยะ T4b-มะเร็งลามไปที่เนื้อเยื่อหน้ากระดูกสันหลังที่คอ รอบหลอดเลือดแดง หรือลามไปที่ปอด

กล่องเสียงส่วนที่อยู่ใต้สายเสียง (Subglottis)

  • ระยะ T1-มะเร็งโตขึ้นเฉพาะที่กล่องเสียงส่วนที่อยู่ใต้สายเสียง
  • ระยะ T2-มะเร็งลามจากกล่องเสียงส่วนที่อยู่ใต้สายเสียงไปที่สายเสียง ทำให้สายเสียงอาจขยับได้ตามปกติหรือขยับได้น้อยลง
  • ระยะ T3-มะเร็งโตขึ้นเฉพาะที่กล่องเสียงทำให้สายเสียงไม่สามารถขยับได้
  • ระยะ T4a-มะเร็งลามไปที่กระดูกอ่อนไทรอยด์ และ/หรือที่เนื้อเยื่อเหนือกล่องเสียง
  • ระยะ T4b-มะเร็งลามไปที่เนื้อเยื่อหน้ากระดูกสันหลังที่คอ รอบหลอดเลือดแดง หรือลามไปที่ปอด

การรักษามะเร็งกล่องเสียง

ผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงมักจะได้รับการดูแลแบบสหสาขาวิชาชีพ (Multidisciplinary Teams) ได้แก่ ศัลยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอก ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง เป็นต้น ทำงานร่วมกันเพื่อวางแผนการรักษา หาข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีการรักษาให้ผู้ป่วยเป็นผู้ตัดสินใจ วิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับขนาดและระยะของมะเร็ง เช่น การฉายรังสี การทำเคมีบำบัด การผ่าตัด การใช้ยา เป็นต้น โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • การฉายรังสี โดยใช้แสงที่มีพลังงานสูงในการกำจัดเซลล์มะเร็ง รวมถึงใช้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งในระยะแรก ๆ และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ หรือใช้รักษาร่วมกับการทำเคมีบำบัด การฉายรังสีอาจต้องรักษาประมาณ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องนาน 3-7 สัปดาห์ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากการรักษาได้ เช่น แสบร้อน ปากแห้ง เป็นแผลในปาก เบื่ออาหาร สูญเสียการรับรสชาติ รู้สึกเหนื่อย รู้สึกไม่สบาย เนื้อเยื่อในลำคออักเสบ หากมีการอักเสบมากจะทำให้ผู้ป่วยหายใจลำบาก เป็นต้น ผลข้างเคียงจะมีอาการดีขึ้นหลังจบการรักษาไปแล้วประมาณ 2-3 สัปดาห์
  • การทำเคมีบำบัด โดยใช้ยาที่มีคุณสมบัติในการทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง รวมถึงป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำหลังการรักษา ใช้รักษาร่วมกับการฉายรังสีได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา แพทย์จะใช้ฉีดยาเข้าเส้นเลือดประมาณ 1 ครั้งทุก ๆ 3-4 สัปดาห์ ไม่เกิน 6 เดือน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากการรักษาได้ เช่น รู้สึกไม่สบาย ผมร่วง เบื่ออาหาร ท้องเสีย เป็นแผลในปาก รู้สึกเหนื่อย ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ติดเชื้อได้ง่าย เป็นต้น ผลข้างเคียงจะมีอาการดีขึ้นหลังจบการรักษา
  • การใช้ยาซีทูซิแมบ เป็นยาชีวะบำบัดชนิดหนึ่ง จะเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ใช้ร่วมกับการทำเคมีบำบัดได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา หรือในผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการทำเคมีบำบัด เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคไต โรคหัวใจ หรือในผู้ที่อยู่ในช่วงติดเชื้อ เพราะอาจทำให้ป่วยหนักกว่าเดิม แพทย์จะให้ยาซีทูซิแมบทางเส้นเลือด หยดช้า ๆ ต่อเนื่องประมาณ 1 ชั่วโมง สูงสุดนาน 7 สัปดาห์ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ เช่น ผื่นคัน รู้สึกไม่สบาย ท้องเสีย หายใจลำบาก เป็นต้น การใช้ยาจะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด แพทย์อาจให้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เพื่อบรรเทาอาการแพ้ยาอย่างรุนแรงในผู้ป่วยบางราย เช่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หรือหายใจลำบาก เป็นต้น
  • การผ่าตัด ทำได้ 3 วิธี ดังนี้
    • การผ่าตัดแบบ Endoscopic Resection จะใช้ในผู้ป่วยมะเร็งในระยะแรก ๆ ก้อนเนื้อยังคงมีขนาดไม่ใหญ่ แพทย์จะให้ยาสลบก่อนเริ่มทำการผ่าตัด ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังการผ่าตัด และอาจทำให้เสียงเปลี่ยนไปได้อย่างถาวร
    • การผ่าตัดแบบ Partial Laryngectomy แพทย์จะผ่าตัดกล่องเสียงและสายเสียงในส่วนที่ได้รับผลกระทบจากเซลล์มะเร็งออกเพียงบางส่วน ผู้ป่วยจะพูดได้ตามปกติแต่จะมีเสียงแหบหรือเสียงเปลี่ยนไป ในระหว่างการรักษาอาจทำให้ผู้ป่วยหายใจลำบาก แพทย์จะผ่าตัดเจาะคอเพื่อใช้หายใจแบบชั่วคราว
    • การผ่าตัดแบบ Total Laryngectomy จะใช้ในการผ่าตัดกำจัดกล่องเสียงและสายเสียงทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจากเซลล์มะเร็ง รวมถึงต่อมน้ำเหลืองหากมีการลุกลามของมะเร็ง แพทย์จะผ่าตัดเจาะคอเพื่อใช้หายใจแบบถาวร และผู้ป่วยจะไม่สามารถพูดได้ตามปกติ ต้องใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น กล่องเสียงเทียม เป็นต้น

ผู้ป่วยหลังเข้ารับการผ่าตัดมะเร็งกล่องเสียงจะไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ต้องรับประทานอาหารผ่านสายยางทางจมูก และในผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัดกล่องเสียงและสายเสียงออกทั้งหมด จะไม่สามารถพูดได้ตามปกติ จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยพูด รวมถึงสภาวะทางจิตใจและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป อาจต้องพักฟื้นหลังการรักษา โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้

  • การดูแลรักษาหลังการเจาะคอ จำเป็นต้องทำความสะอาดเป็นอย่างดีและให้ความชุ่มชื้น เพื่อป้องกันการตกสะเก็ดและความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หากมีอาการไอหรือจามควรใช้กระดาษทิชชูปิดที่บริเวณช่องที่คอ เพราะน้ำมูกหรือน้ำลายอาจกระเด็นออกมาได้
  • การบำบัดการพูดหลังการผ่าตัด ในผู้ป่วยที่ผ่าตัดกล่องเสียงออกทั้งหมด จะไม่สามารถพูดได้ตามปกติ จำเป็นต้องฝึกหรือใช้อุปกรณ์ในการช่วยพูด เช่น
    • กล่องเสียงเทียม (Voice Prosthesis) จะมีลิ้นซึ่งทำหน้าที่ในการสร้างเสียงขึ้นมา ผู้ป่วยจะขยับปากพูดได้ตามปกติ และเสียงค่อนข้างเป็นธรรมชาติ
    • การพูดโดยใช้ลมจากกระเพาะอาหารช่วย (Esophageal Speech) เป็นการฝึกพูดโดยใช้วิธีสูดลมแล้วพ่นลมออกทางหลอดอาหารเพื่อเปล่งเสียง
    • อุปกรณ์ช่วยพูด (Electrolarynx) ทำงานด้วยแบตเตอร์รี่มีปุ่มเปิดและปิด โดยวางอุปกรณ์ไว้ที่คาง เครื่องจะสั่นในขณะที่ผู้ป่วยขยับปากและริมฝีปาก

ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งกล่องเสียง

วิธีการรักษาผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงด้วยการผ่าตัดอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ แต่ค่อนข้างน้อย รวมถึงการรักษาด้วยการฉายแสงและเคมีบำบัดอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้เช่นกัน และหากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาจะเกิดการลุกลามของเซลล์มะเร็งและทำให้มีอาการมากขึ้น เช่น หายใจลำบาก กลืนลำบาก เสียงหาย เป็นก้อนที่คอ และก้อนอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นจนทำให้ไม่สามารถหายใจได้ และเซลล์มะเร็งอาจลุกลามไปอวัยวะต่างๆ เช่น ปอด หลอดเลือด กระดูก เป็นต้น

การป้องกันมะเร็งกล่องเสียง

ในการป้องกัน ทำได้ด้วยการลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดมะเร็งกล่องเสียง โดยการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ควรปฏิบัติได้ตามแนวทางดังต่อไปนี้

  • หลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการสูบบุหรี่หรือบุหรี่ที่มีส่วนประกอบของใบยาสูบ
  • หลีกเลี่ยงหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป
  • ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง หากต้องทำงานใกล้ชิดกับสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง
  • รับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้สด โดยเฉพาะมะเขือเทศ ส้ม มะนาว น้ำมันมะกอก น้ำมันตับปลา เป็นต้น