มิลนาซิแพรน
Milnacipran (มิลนาซิแพรน) เป็นยารักษาภาวะไฟโบรมัยอัลเจีย ซึ่งเป็นภาวะที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นกระดูก และเนื้อเยื่อของร่างกาย โดยออกฤทธิ์ช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง และอาจนำมาใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์อีกด้วย
เกี่ยวกับยามิลนาซิแพรน
กลุ่มยา | ยากลุ่มเอสเอ็นอาร์ไอ (Serotonin and Norepinephrine Reuptake Inhibitor: SNRI) |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาภาวะไฟโบรมัยอัลเจีย |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ |
Category C จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิด ความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลองในมนุษย์และสัตว์ ควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่า มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ |
คำเตือนในการใช้ยามิลนาซิแพรน
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ รวมถึงยาและสารอื่น ๆ เพราะยาอาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการแพ้ยาหรือเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยเคยมีประวัติทางการแพทย์ โดยเฉพาะโรคไต โรคตับ การดื่มแอลกอฮอล์ ต้อหิน โรคทางจิตเวช การพยายามฆ่าตัวตาย ความดันโลหิตสูง ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ชัก ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง มีแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ ระดับโซเดียมในเลือดต่ำ ปัสสาวะได้ยาก หรือรู้สึกเจ็บขณะปัสสาวะ
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่ เพราะยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยานี้จนก่อให้เกิดผลข้างเคียง หรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลง
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากผู้ป่วยใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า เช่น ยาไอโซคาร์บอกซาซิด ยาฟีเนลซีน และยาทรานิลซัยโปรมีน หรือยารักษาโรคพาร์กินสันอย่างยาเซเลกิลีนหรือยาราซากิลีนภายใน 14 วันก่อนการใช้ยา Milnacipran เพราะอาจทำให้ระดับความดันโลหิตเพิ่มสูงอย่างมาก
- หลีกเลี่ยงการขับรถ การใช้เครื่องจักรหรือการทำกิจกรรมที่ต้องอาศัยความตื่นตัวในระหว่างที่ใช้ยา
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะตับทำงานผิดปกติ
- ผู้ป่วยอาจต้องตรวจเลือด ความดันโลหิต ไปจนถึงอัตราการเต้นของหัวใจตามคำสั่งของแพทย์ขณะใช้ยานี้
- ผู้ป่วยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปอาจเกิดผลข้างเคียงจากยามากกว่าปกติ โดยอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโซเดียมในเลือดต่ำโดยเฉพาะเมื่อใช้ยาขับปัสสาวะร่วมด้วย
- ผู้ป่วยที่กำลังตั้งครรภ์ หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ถึงผลดีผลเสียก่อนการใช้ยานี้ โดยเฉพาะการใช้ยานี้ในช่วงไตรมาสที่ 3 อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดปกติในทารกแรกเกิดได้
- ผู้ป่วยที่ใช้ยานี้ควรปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงต่อทารกก่อนการให้นมบุตร
- ห้ามใช้ยา Milnacipran ในผู้ป่วยเด็ก
ปริมาณการใช้ยามิลนาซิแพรน
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้
รักษารักษาภาวะไฟโบรมัยอัลเจีย
ตัวอย่างการใช้ยา Milnacipran เพื่อรักษารักษาภาวะไฟโบรมัยอัลเจีย
ผู้ใหญ่
ในวันแรกของการรักษา รับประทานยาปริมาณ 12.5 มิลลิกรัม เพียง 1 ครั้ง
วันที่ 2 และ 3 รับประทานยาปริมาณ 12.5 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง
วันที่ 4-7 รับประทานยาปริมาณ 25 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง
หลังจากนั้น รับประทานยาปริมาณ 50 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง โดยอาจเพิ่มปริมาณยาตามการตอบสนองของผู้ป่วยได้จนถึงปริมาณ 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง
การใช้ยามิลนาซิแพรน
- ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
- รับประทานยานี้พร้อมอาหารหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้ หากมีอาการคลื่นไส้ แนะนำให้รับประทานพร้อมอาหาร
- ผู้ป่วยควรรับประทานยาให้ครบตามกำหนดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา และควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์สั่งแม้อาการจะดีขึ้นแล้ว
- ผู้ป่วยไม่ควรหยุดใช้ยานี้อย่างกะทันหัน เพราะอาจทำให้เกิดการถอนยาได้ หากต้องการหยุดใช้ยา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดในการลดปริมาณยา
- ห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้ และห้ามใช้ยาของผู้อื่น
- หากผู้ป่วยลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ หากใกล้ถึงช่วงเวลาของยารอบถัดไปพอดี ให้ข้ามไปรับประทานยาตามเวลาปกติ โดยห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
- หากผู้ป่วยสงสัยว่าตนเองรับประทานยาเกินกว่าปริมาณที่กำหนดควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความชื้น ความร้อน และแสงแดด โดยเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง รวมถึงปรึกษาวิธีการเก็บรักษาและการกำจัดยาที่ถูกต้องจากแพทย์และเภสัชกรด้วย
ผลข้างเคียงจากการใช้ยามิลนาซิแพรน
ยา Milnacipran อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ร้อนวูบวาบ มีเหงื่อออกมาก ปวดศีรษะ รู้สึกไม่สบายท้อง ท้องผูก ปากแห้ง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เวียนศีรษะ นอนไม่หลับ เป็นต้น หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือมีอาการแย่ลง ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที หากเกิดอาการอื่น ๆ ที่รุนแรงดังต่อไปนี้
- มีสัญญาณของการแพ้ยา เช่น ผื่นขึ้น ลมพิษ คัน ผิวหนังบวมแดงหรือพอง ผิวลอกที่อาจมีหรือไม่มีไข้ร่วมด้วย มีเสียงหวีดขณะหายใจ แน่นหน้าอกหรือบริเวณลำคอ มีปัญหาในการหายใจ การกลืน หรือการพูดคุย เสียงแหบผิดปกติ อาการบวมบริเวณปาก ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น และลำคอ เป็นต้น
- มีสัญญาณของระดับโซเดียมในร่างกายลดต่ำลง เช่น ปวดศีรษะ ไม่มีสมาธิ มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ สับสน อ่อนแรง ชัก หรือมีปัญหาในการทรงตัว เป็นต้น
- เลือดออกผิดปกติ เช่น อาเจียนเป็นเลือดหรือหรือมีลักษณะคล้ายกากกาแฟ ไอเป็นเลือด ปัสสาวะปนเลือด อุจจาระเป็นสีดำ สีแดง หรือสีโคลน เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ เกิดรอยช้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ เลือดออกรุนแรงหรือไม่ยอมหยุดไหล เป็นต้น
- มีสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระสีซีด รู้สึกเหนื่อย เบื่ออาหาร ไม่สบายท้องหรือปวดท้อง อาเจียน ดีซ่าน เป็นต้น
- มีสัญญาณของความดันโลหิตสูง เช่น ปวดศีรษะหรือเวียนศีรษะอย่างรุนแรง หมดสติ หรือสายตาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เป็นต้น
- กลุ่มอาการเซโรโทนินซินโดรม เช่น กระสับกระส่าย เสียการทรงตัว สับสน เห็นภาพหลอน มีไข้ หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ ผิวหนังแดง กล้ามเนื้อกระตุกหรือแข็งเกร็ง ชัก สั่น มีเหงื่อออกมาก ท้องเสียอย่างรุนแรง ไม่สบายท้อง อาเจียน ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เป็นต้น
- หัวใจเต้นเร็ว หรือเต้นผิดปกติ
- ชัก
- ปัสสาวะไม่ออกหรือปริมาณปัสสาวะเปลี่ยนแปลง
- ปวดบริเวณอัณฑะมีปัญหาเรื่องเพศอย่างความสนใจเรื่องเพศลดลงหรือมีปัญหาในการหลั่งน้ำอสุจิ
นอกจากนั้น ยานี้อาจทำให้ผู้ป่วยบางรายเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเกี่ยวกับดวงตา หากมีอาการ เช่น ปวดตา การมองเห็นเปลี่ยนไปจากเดิม บวมแดงรอบดวงตา เป็นต้น ควรรีบเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ