วิตามินบี 1
วิตามินบี 1 (Vitamin B1) หรือไทอะมีน เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของเนื้อเยื่อโดยช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงาน ใช้รักษาและป้องกันภาวะขาดวิตามินบี 1 ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง โรคคลั่งผอมอะนอเร็กเซีย และโรคคลั่งผอมอะนอเร็กเซีย รวมถึงใช้รักษาอาการเหน็บชา และกลุ่มอาการทางสมองจากการขาดวิตามินบี 1 ด้วย
นอกจากจะอยู่ในรูปแบบของอาหารเสริม คนทั่วไปสามารถบริโภควิตามินบี 1 ได้จากอาหารบางชนิด เช่น เนื้อหมู ตับ ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา เมล็ดทานตะวัน มันฝรั่ง เป็นต้น
เกี่ยวกับวิตามินบี 1
กลุ่มยา | วิตามิน |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่หาซื้อได้เอง |
สรรพคุณ | ป้องกันและรักษาภาวะขาดวิตามินบี 1 |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็กและผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน และยาฉีด |
คำเตือนในการใช้วิตามินบี 1
- ห้ามเริ่มหรือหยุดใช้วิตามินบี 1 โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ และห้ามปรับปริมาณวิตามินบี 1 ด้วยตนเอง
- หากกำลังรับประทานวิตามินบี 1 ควรแจ้งให้แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกรทราบ ก่อนรับการรักษาประเภทอื่น ๆ
- ห้ามใช้วิตามินบี 1 ร่วมกับผู้อื่น
- ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ หากรับประทานวิตามินบี 1 แล้วอาการที่รักษาไม่ดีขึ้น หรือมีอาการแย่ลง
บุคคลในกลุ่มต่อไปนี้ ควรปรึกษาและแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนใช้อาหารเสริมวิตามินบี 1
- ผู้ที่แพ้วิตามินบี 1 รวมถึงส่วนประกอบอื่น ๆ ที่อยู่ในตัวยา
- ผู้ที่มีประวัติการแพ้ยาชนิดอื่น ๆ หรือแพ้อาหาร
- ผู้ที่กำลังใช้ยารักษา วิตามิน หรือสมุนไพรชนิดอื่น ๆ
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนตั้งครรภ์ ต้องปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีและข้อเสียของวิตามินชนิดนี้ก่อน
- ผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร ต้องปรึกษาแพทย์ถึงผลกระทบของวิตามินบี 1 ที่อาจเกิดขึ้นกับทารกก่อนเสมอ
ปริมาณการใช้วิตามินบี 1
วิตามินบี 1 มีปริมาณการใช้ที่แตกต่างกันตามอาการและลักษณะของผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีตัวอย่างปริมาณและรายละเอียดการใช้ ดังนี้
รับประทานเป็นวิตามินเสริม
- ผู้ใหญ่ รับประทาน 50-100 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง
- เด็ก รับประทาน 0.5-1 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง
- ทารก รับประทาน 0.3-0.5 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง
รักษาภาวะขาดวิตามินบี 1
- ผู้ใหญ่ รับประทานวันละไม่เกิน 300 มิลลิกรัม
- เด็ก ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำปริมาณ 100 มิลลิกรัม โดยใช้ร่วมกับสารน้ำ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
รักษาและป้องกันภาวะขาดวิตามินบี 1 ชนิดไม่รุนแรง
- ผู้ใหญ่ รับประทานวันละ 10-25 มิลลิกรัม
รักษากลุ่มอาการทางสมองจากการขาดวิตามินบี 1 (Wernicke-Korsakoff Syndrome)
- ผู้ใหญ่ เริ่มต้นฉีดวิตามินบี 1 ปริมาณ 100 มิลลิกรัม ให้ยาเข้าสู่หลอดเลือดดำอย่างช้า ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 10 นาที จากนั้นปรับปริมาณวิตามินบี 1 เป็นวันละ 50-100 มิลลิกรัม โดยฉีดวิตามินบี 1 เข้าทางหลอดเลือดดำหรือทางกล้ามเนื้อ จนกว่าผู้ป่วยจะสามารถรับประทานวิตามินบี 1 ได้เอง
การใช้วิตามินบี 1
- ควรอ่านฉลากบรรจุภัณฑ์และปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ควรรับประทานวิตามินบี 1 พร้อมมื้ออาหาร
- เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดจากวิตามินบี 1 ไม่ควรลืมรับประทานตามเวลาที่แพทย์กำหนด หากลืมรับประทานและใกล้กับช่วงเวลาในการรับประทานวิตามินครั้งต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานตามเวลาและปริมาณปกติ ไม่ต้องเพิ่มปริมาณวิตามินเพื่อทดแทนครั้งที่ขาดไป
- เก็บวิตามินไว้ที่อุณหภูมิห้อง ห่างจากความร้อน ความชื้น พ้นจากมือเด็ก และไม่ให้ยาสัมผัสแสงโดยตรง รวมถึงปิดฝาให้สนิททุกครั้งหลังใช้งาน และไม่รับประทานวิตามินที่หมดอายุ
ผลข้างเคียงจากการใช้วิตามินบี 1
การใช้วิตามินบี 1 อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป แต่ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์หากผลข้างเคียงเหล่านั้นรบกวนการใช้ชีวิต หรืออาการไม่ดีขึ้นแม้เวลาผ่านไป เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย กระสับกระส่าย รู้สึกร้อน เหงื่อออกมาก หรือรู้สึกอ่อนเพลีย
นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน หากพบว่ามีอาการแพ้ยา เช่น มีผื่นแดง คัน บวม พุพอง ผิวลอก แน่นหน้าอก แน่นที่ลำคอ หายใจมีเสียงหวีด หายใจลำบาก มีปัญหาในการพูด เสียงแหบ หรือมีอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ปาก ลิ้น และลำคอ