ออกคาร์บาซีปีน
Oxcarbazepine (ออกคาร์บาซีปีน) เป็นยาต้านชักชนิดหนึ่ง ออกฤทธิ์โดยลดแรงกระตุ้นจากเส้นประสาทที่เป็นสาเหตุของอาการปวดและอาการชัก บางครั้งแพทย์อาจใช้ยาชนิดนี้ร่วมกับยาชนิดอื่นเพื่อรักษาอาการชักเฉพาะส่วน นอกจากนี้ Oxcarbazepine อาจใช้เพื่อรักษาอาการอื่น ๆ ได้โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
เกี่ยวกับยา Oxcarbazepine
กลุ่มยา | ยาต้านชัก |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาอาการชัก |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้ใหญ่ เด็ก |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ | Category C จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลองในมนุษย์และสัตว์ ควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่า มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ |
คำเตือนในการใช้ยา Oxcarbazepine
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากแพ้ยาชนิดนี้ ยาเอสลิคาร์บาซีพีน ยาชนิดอื่น หรือสารใด ๆ เพราะยาอาจมีสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติการรักษาของผู้ป่วย โดยเฉพาะหากเคยเป็นโรคตับ โรคไต หรือเคยแพ้ยาคาร์บามาซีปีนมาก่อน
- หากเกิดอาการของภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ เช่น อ่อนแรง เวียนหัว ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการชัก ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีเพราะเป็นภาวะที่อาจมีอันตรายถึงชีวิต
- ยา Oxcarbazepine และยากันชักชนิดอื่นอาจทำให้ผู้ป่วยบางคนคิดฆ่าตัวตายได้ แพทย์จึงอาจนัดตรวจดูอาการหลังจากจ่ายยาไปแล้ว และตัวผู้ป่วยเองรวมถึงคนในครอบครัวควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีความผิดปกติเกิดขึ้น เช่น อารมณ์หรือพฤติกรรมเปลี่ยนไป เป็นโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล รู้สึกโกรธ ตื่นตระหนก ไม่อยู่นิ่ง ร้อนรน อาการต่าง ๆ ที่เป็นอยู่แย่ลง หรือคิดฆ่าตัวตาย เป็นต้น
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้เด็กรับประทานยา เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่างหากใช้ยาชนิดนี้กับเด็ก อย่างปริมาณยาที่รับประทาน หรือยาที่ใช้ร่วมกัน
- ยานี้อาจทำให้ยาคุมกำเนิดใช้ไม่ได้ผล จึงควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการคุมกำเนิดโดยใช้วิธีอื่นแทน อย่างใช้ถุงยางอนามัย ใช้ยาฆ่าอสุจิ หรือใช้ฝาครอบปากมดลูก
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยา Oxcarbazepine หากอยู่ในช่วงให้นมบุตร
- หากกำลังตั้งครรภ์ ห้ามเริ่มรับประทานหรือหยุดรับประทานยานี้โดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะหากเกิดอาการชักในระหว่างตั้งครรภ์ อาจเป็นอันตรายต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์ได้
- หากเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นในระหว่างที่ใช้ยาเพื่อรักษาอาการชัก ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
ปริมาณการใช้ยา Oxcarbazepine
อาการชักเฉพาะส่วน
ยา Oxcarbazepine อาจใช้เพื่อรักษาอาการชักเฉพาะส่วนได้ โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้
ผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะใช้ยาชนิดนี้อย่างเดียวหรือใช้เป็นยารักษาเสริม ให้เริ่มรับประทานยาปริมาณ 600 มิลลิกรัมโดยแบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้ง หากจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาให้เพิ่มอีกไม่เกินวันละ 600 มิลลิกรัมนาน 1 สัปดาห์แล้วจึงค่อยปรับปริมาณยาอีกครั้ง ในกรณีที่ใช้ยาเพื่อควบคุมอาการ ให้รับประทานยาวันละ 600-1,200 มิลลิกรัม ส่วนกรณีที่ใช้เป็นยารักษาเสริมหรือใช้กับผู้ป่วยที่ดื้อยาต้านชักชนิดอื่น ให้รับประทานยาไม่เกินวันละ 2,400 มิลลิกรัม
เด็ก เด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ให้รับประทานยาปริมาณ 8-10 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมโดยแบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้ง หากจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาให้เพิ่มอีกไม่เกินวันละ 10 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม นาน 1 สัปดาห์แล้วจึงค่อยปรับปริมาณยาอีกครั้ง ในกรณีที่ใช้เป็นยารักษาเสริม ให้รับประทานยาวันละ 30 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่ไม่เกิน 46 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
การใช้ยา Oxcarbazepine
- การรักษาอาการชักมักใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน จึงควรอ่านวิธีใช้ในเอกสารกำกับยาแต่ละชนิดให้ดี หรือปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรอย่างเคร่งครัด
- ควรแจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบว่ากำลังรับประทานยาชนิดนี้ ยาชนิดอื่น รวมถึงสมุนไพรที่ใช้อยู่ ก่อนเข้ารับการผ่าตัดหรือทำทันตกรรม
- ในระหว่างที่รับประทานยา ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้ผลข้างเคียงบางอย่างจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มรอรุนแรงขึ้น รวมถึงอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดอาการชักอีกด้วย
- ในระหว่างที่รับประทานยา ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงเกินไปหรือเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ อย่างการออกกำลังกาย ดื่มน้ำน้อย หรืออยู่ในสถานที่ที่มีอากาศร้อน และควรดื่มของเหลวตามชนิดและปริมาณที่แพทย์แนะนำ
- ยาชนิดนี้อาจทำให้เวียนหัวหรือง่วงนอน อีกทั้งการดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้อาการดังกล่าวรุนแรงขึ้นได้ ดังนั้น ควรจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มและหลีกเลี่ยงการขับรถหรือใช้เครื่องจักร จนกว่าอาการเหล่านั้นจะหายไป
- ควรรับประทานยาชนิดนี้ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง
- หากรับประทานยาเม็ด ควรกลืนยาลงไปทั้งเม็ด ไม่กัดยา แบ่งยา หรือบดยา
- หากรับประทานยาน้ำ ควรเขย่าขวดก่อนนำมารับประทาน และแบ่งยาด้วยหลอดฉีดยาหรืออุปกรณ์ตวงยา โดยรับประทานยาจากหลอดฉีดยาโดยตรงหรือผสมยาลงในน้ำเปล่าก่อนรับประทาน
- หลังจากใช้หลอดฉีดยาหรืออุปกรณ์ตวงยาเสร็จแล้ว ควรล้างด้วยน้ำสะอาดโดยเปิดให้น้ำไหลผ่านและทิ้งไว้ให้แห้ง
- ห้ามหยุดรับประทานยาอย่างกะทันหันแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะอาจทำให้เกิดอาการชักได้ ให้ค่อย ๆ ลดปริมาณยาลงตามคำแนะนำของแพทย์
- หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นกับตัวผู้ป่วย ควรแจ้งให้แพทย์หรือเจ้าหน้าที่ทราบว่ากำลังใช้ยาชนิดนี้อยู่
- ในกรณีที่ลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้ได้เวลารับประทานยาในรอบต่อไป ให้ข้ามยารอบที่ลืมไปโดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณยาในรอบที่จะถึง
- หากรับประทานยาเกินปริมาณ ให้รีบไปโรงพยาบาลทันที
- เก็บยาไว้ในอุณหภูมิห้อง โดยเก็บให้ห่างจากความร้อนและความชื้น หากเป็นยาน้ำควรนำยาที่เหลือไปทิ้งหลังเปิดรับประทานไปแล้ว 7 สัปดาห์
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Oxcarbazepine
ยาชนิดนี้อาจทำให้ผู้ป่วยมีความผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกายได้ โดยผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปมีหลายรูปแบบ อย่างเวียนหัว อาเจียน สั่น เห็นภาพซ้อน หรือร่างกายเสียสมดุลในการทรงตัว อีกทั้งยังอาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ เช่น
- อาการแพ้ เช่น เป็นลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม ปากบวม ลิ้นบวม คอบวม เกิดจ้ำเขียวแบบผิดปกติ ผิวเหลือง ตาเหลือง เป็นต้น
- สัญญาณของภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ เช่น เวียนหัว สับสน ไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ เหนื่อยล้า หงุดหงิดง่าย หรือเกิดอาการชัก เป็นต้น
- มีไข้ มีอาการคล้ายหวัด
- ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ หรืออาจทำให้ผู้ป่วยคิดฆ่าตัวตายได้
ทั้งนี้ ยา Oxcarbazepine อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้อีก ดังนั้น หากเกิดความผิดปกติใด ๆ กับร่างกายหลังจากที่ใช้ยาชนิดนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม และรีบไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการแพ้ยาหรือมีผลข้างเคียงที่รุนแรง