อะมิโลไรด์ (Amiloride)
Amiloride (อะมิโลไรด์) เป็นยาที่ใช้รักษาอาการบวมน้ำ ภาวะท้องมาน ภาวะหัวใจล้มเหลว และควบคุมระดับความดันโลหิต โดยตัวยาจะขับน้ำและเกลือออกจากร่างกายผ่านการขับปัสสาวะ และลดการขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายมากเกินไป นอกจากนี้อาจใช้รักษาภาวะอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์
เกี่ยวกับยา Amiloride
กลุ่มยา | ยาขับปัสสาวะ (Diuretic Drugs) |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาอาการบวมน้ำ ภาวะท้องมาน ภาวะหัวใจล้มเหลว และควบคุมระดับความดันโลหิต |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร | Category B จากการศึกษาในสัตว์ ไม่พบความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์หรืออาจพบผลไม่พึงประสงค์ในสัตว์ และยังไม่พบความเสี่ยงในมนุษย์เมื่อใช้ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ รวมทั้งไม่มีหลักฐานทางการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า มีความเสี่ยงเมื่อใช้ในช่วงหลังเดือนที่สามเป็นต้นไป และผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เนื่องจากยังไม่ทราบได้ว่าตัวยาจะปนเปื้อนไปกับน้ำนมหรือไม่ |
คำเตือนในการใช้ยา Amiloride
ข้อควรทราบเพื่อความปลอดภัยก่อนการใช้ยา Amiloride มีดังนี้
- แจ้งแพทย์และเภสัชกรเกี่ยวกับอาการแพ้ยา ทั้งจากยาชนิดนี้ ยาในกลุ่มซัลฟาหรือยาชนิดอื่น ๆ และอาการแพ้สารต่าง ๆ โดยผู้ป่วยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับส่วนประกอบของยา Amiloride ก่อนการใช้
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่ เพื่อป้องกันอันตรายจากการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา เช่น ลิเทียม (Lithium) ยากดภูมิคุ้มกัน ยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ยาคอเลสไทรามีน (Cholestyramine) ยารักษาความดันโลหิตสูงกลุ่มเอซีอี อินฮิบิเตอร์ (ACE Inhibitor) ยารักษาโรคหัวใจ
- แจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติทางการแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่กำลังป่วยหรือเคยป่วยด้วยโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคตับและตับแข็ง ภาวะขาดน้ำ หรือภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากป่วยด้วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Lupus) เนื่องจากยา Amiloride อาจทำให้อาการของโรคกำเริบหรือรุนแรงขึ้นได้
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากกำลังรับประทานอาหารลดเค็ม (Low-Salt Diet)
- ห้ามใช้ยา Amiloride โดยเด็ดขาด หากเป็นผู้ที่มีปัญหาในการขับปัสสาวะ ผู้ป่วยภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalemia) ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่กำลังรับประทานโพแทสเซียมในรูปแบบอาหารเสริม หรือกำลังรับประทานยาขับปัสสาวะกลุ่มโพแทสเซียม-สแปริ่งไดยูเรติก (Potassium-Sparing Diuretics)
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงในระหว่างใช้ยา โดยเฉพาะหากมีอาการของภาวะความดันโลหิตต่ำในระหว่างการใช้ยา เช่น มีเหงื่อออกมาก อาเจียน อุจจาระเหลว
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลงและร่างกายอาจสะสมน้ำมากขึ้น
- ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปควรใช้ยา Amiloride อย่างระมัดระวัง เนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยในวัยนี้อาจไวต่อผลข้างเคียงจากยามากกว่าวัยอื่น ๆ
- ปรึกษาแพทย์หากกำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ รวมทั้งหากตั้งครรภ์ในระหว่างการใช้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบโดยเร็วที่สุด
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาที่หาซื้อได้เองตามร้านขายยาทั่วไปหรือยาชนิดอื่น ๆ ในระหว่างการใช้ยา Amiloride
- ยา Amiloride อาจทำให้ผิวของผู้ป่วยไวต่อแสง ทำให้ผิวไหม้จากแสงแดดได้ง่าย และหากสังเกตเห็นว่ามีอาการผิวไหม้แดดง่ายในระหว่างใช้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
- การใช้ยา Amiloride อาจทำให้รู้สึกเวียนศรีษะ ผู้ป่วยจึงควรหลีกเลี่ยงการขับรถ การทำกิจกรรมที่ต้องตื่นตัวหรือการใช้เครื่องจักร รวมทั้งควรจำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้รู้สึกมึนหัวมากขึ้นได้
ปริมาณการใช้ยา Amiloride
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยา Amiloride ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยาดังนี้
อาการบวมน้ำ (Edema)
ตัวอย่างการใช้ยา Amiloride เพื่อรักษาอาการบวมน้ำ
- ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 5–10 มิลลิกรัม/วัน จากนั้นแพทย์อาจปรับปริมาณยามากขึ้น โดยปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 20 มิลลิกรัม/วัน และหากใช้ยา Amiloride ร่วมกับยาขับปัสสาวะหรือยาลดความดันโลหิตชนิดอื่น ๆ ให้รับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 2.5 มิลลิกรัม/วัน
ภาวะท้องมาน ภาวะหัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure) และควบคุมระดับความดันโลหิต
ตัวอย่างการใช้ยา Amiloride เพื่อรักษาภาวะท้องมาน ภาวะหัวใจล้มเหลว และควบคุมระดับความดันโลหิต
- ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 5 มิลลิกรัม/วัน จากนั้นแพทย์อาจปรับปริมาณยาให้คงที่ 5–10 มิลลิกรัม/วัน
การใช้ยา Amiloride
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา Amiloride ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
- ใช้ยาตามคำสั่งแพทย์หรือคำแนะนำบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด ไม่ควรปรับปริมาณยาเองหรือหยุดใช้ยาแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
- ยา Amiloride ควรรับประทานพร้อมอาหาร
- ปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณและชนิดของเครื่องดื่มที่ควรดื่มในระหว่างการใช้ยา Amiloride เพื่อป้องกันการดื่มน้ำในปริมาณที่น้อยหรือมากจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยาก่อนนอนเพราะตัวยาอาจทำให้ผู้ป่วยปวดปัสสาวะตอนกลางคืนได้
- เข้ารับการตรวจวัดระดับความดันโลหิตและตรวจเลือดตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดในระหว่างการใช้ยา
- หากใช้ยา Amiloride เพื่อควบคุมระดับความดันโลหิต ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารตามแพทย์แนะนำ และควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานควบคู่ไปด้วยในระหว่างการใช้ยา
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานแล้วต้องใช้ยา Amiloride ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอในระหว่างการใช้ยา
- กรณีที่ลืมรับประทานยา ควรรับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้และรับประทานยาครั้งต่อไปตามช่วงเวลาเดิม แต่หากใกล้ถึงช่วงเวลารับประทานยารอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยารอบต่อไปเพียงมื้อเดียว รวมทั้งห้ามเพิ่มปริมาณการรับประทานยาเป็นสองเท่าเพื่อทดแทน
- หากใช้ยาเกินขนาดควรรีบไปพบแพทย์ทันที โดยจะพบอาการปากแห้ง กระหายน้ำ หัวใจเต้นเร็ว เวียนหัว อ่อนแรงหรือรู้สึกปวดที่มือหรือเท้า หายใจเร็ว เบ้าตาโบ๋ลึก เกิดตะคริว และปัสสาวะน้อยลง
- เก็บยาไว้ในบรรจุภัณฑ์อย่างมิดชิดและเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง โดยให้ห่างจากมือเด็ก ความชื้น ความร้อนและอากาศเย็นจัด หากยาหมดอายุควรนำไปกำจัดอย่างเหมาะสม
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Amiloride
โดยทั่วไป ยา Amiloride อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทั่วไป เช่น ปวดศีรษะ เกิดผื่น คลื่นไส้ อาเจียน แสบหน้าอก เบื่ออาหาร มีแก๊สในกระเพาะอาหาร ปวดท้อง และท้องเสีย หากผู้ป่วยมีอาการแย่ลงหรือผลข้างเคียงดังกล่าวเกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
อย่างไรก็ตาม ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน หากมีอาการต่อไปนี้
- มึนงงหรือหมดสติ
- เจ็บหน้าอก
- ผิวแห้ง คัน
- กลืนหรือหายใจลำบาก
- มีเหงื่อออกมาก
- กระหายน้ำมากขึ้น
- เกิดภาวะดีซ่าน (Jaundice) โดยตาและผิวหนังของผู้ป่วยจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
- ปัสสาวะน้อยลง
- หัวใจเต้นผิดปกติ
- ระดับโซเดียมในร่างกายลดต่ำลง โดยผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดศรีษะ อ่อนเพลียอย่างรุนแรง พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง ระดับความรู้สึกตัวลดลง
- เกิดภาวะขาดน้ำหรือภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย เช่น รู้สึกชาหรือเป็นเหน็บ หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง ปวดท้องหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง