ความหมาย เริมที่อวัยวะเพศ
เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) คืออาการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus: HSV) บริเวณอวัยวะเพศ ส่งผลให้มีอาการเจ็บ คัน เกิดบาดแผลหรือตุ่มพองบริเวณอวัยวะเพศ และอาจมีอาการเจ็บขณะปัสสาวะร่วมด้วย
โรคเริมที่อวัยวะเพศจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้ป่วยมักจะได้รับเชื้อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ โดยเพศหญิงจะมีความเสี่ยงต่อโรคมากกว่าเพศชาย ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ บางรายอาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีกครั้งเมื่อร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วย หรือในช่วงที่มีประจำเดือน
อาการของเริมที่อวัยวะเพศ
อาการของโรคจะเริ่มจากการเกิดตุ่มพองขนาดเล็กที่อาจจะแตกออกเป็นแผลเปิดและก่อให้เกิดความเจ็บปวด แต่แผลจะตกสะเก็ดและหายไปภายในเวลา 2-3 สัปดาห์ ในเพศชายจะปรากฏอาการของโรคบริเวณอวัยวะเพศ ถุงอัณฑะ หรือบริเวณสะโพกใกล้กับทวารหนัก ส่วนในเพศหญิงจะปรากฏอาการของโรคบริเวณช่องคลอด ทวารหนัก และสะโพก
นอกจากนี้ เริมที่อวัยวะเพศอาจส่งผลให้เกิดอาการอื่น ๆ ทั้งในเพศชายและเพศหญิง ดังนี้
- เกิดรอยแตกหรือรอยแดงบริเวณรอบ ๆ อวัยวะเพศ แต่ไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บหรือคัน
- คันหรือชาบริเวณรอบ ๆ อวัยวะเพศหรือทวารหนัก
- เจ็บขณะปัสสาวะโดยเฉพาะในเพศหญิง เนื่องจากมีแผลบริเวณอวัยวะเพศ
- อาจมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น มีไข้ ปวดตัว ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองบวม และอ่อนเพลีย เป็นต้น
ระยะเวลาในการแสดงอาการจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล โดยอาการอาจปรากฏทันทีหลังได้รับเชื้อหรือปรากฏหลังจากการรับเชื้อมาแล้วนานหลายเดือนหรือเป็นปี ในกรณีที่ผู้ป่วยแสดงอาการทันทีหลังการติดเชื้อ อาการที่เกิดขึ้นอาจมีความรุนแรงมาก
อย่างไรตาม หากพบอาการที่เข้าข่ายโรคเริมควรไปพบแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากเชื้อไวรัสอาจแพร่จากแม่ไปสู่ทารกในครรภ์ขณะคลอด หากทารกติดเชื้อจะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อีกทั้งความผิดปกติที่เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศอาจเกิดจากโรคเชื้อราในช่องคลอด การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ การไปพบแพทย์แม้จะยังไม่แสดงอาการจึงเป็นการตรวจหาโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
สาเหตุของเริมที่อวัยวะเพศ
เริมที่อวัยวะเพศเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus: HSV) ที่สามารถติดต่อผ่านทางผิวหนังและทางเพศสัมพันธ์ โดยไวรัสชนิดนี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ HSV-1 เป็นไวรัสที่เป็นสาเหตุของการเกิดเริมที่ปากและเริมที่อวัยวะเพศ ส่วนอีกชนิด คือ HSV-2 เป็นไวรัสที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดเริมที่อวัยวะเพศ สามารถแพร่กระจายได้ง่ายถึงแม้จะไม่มีบาดแผลเปิด
ไวรัส HSV สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังและฝังตัวอยู่ภายในเส้นประสาทบริเวณเชิงกราน โดยอาการของโรคจะปรากฏขึ้นเมื่อเชื้อไวรัสเคลื่อนตามเส้นประสาทออกมายังผิวหนัง ซึ่งผู้หญิงและผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยจะมีโอกาสสูงต่อการได้รับเชื้อไวรัสและเกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศ
นอกจากนี้ ไวรัสทั้งสองชนิดยังพบได้ในสารคัดหลั่ง อย่างน้ำลาย อสุจิ หรือตกขาว แต่เชื้อดังกล่าวจะตายอย่างรวดเร็วเมื่ออยู่นอกร่างกาย ทำให้โอกาสในการติดเชื้อไวรัสจากการใช้ห้องน้ำ ผ้าเช็ดตัว หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นไปได้น้อย
การวินิจฉัยเริมที่อวัยวะเพศ
โดยทั่วไป แพทย์จะวินิจฉัยเริมที่อวัยวะเพศได้จากการตรวจร่างกาย แต่ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องตรวจหาเชื้อด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม ดังนี้
การทดสอบ Polymerase Chain Reaction หรือ PCR Test
เป็นการคัดลอกดีเอ็นเอ (DNA) ของผู้ป่วยจากตัวอย่างเลือด เนื้อเยื่อบริเวณที่มีบาดแผล ทางเดินปัสสาวะ หรือน้ำไขสันหลัง ทำให้สามารถตรวจพบเชื้อไวรัส HSV และระบุชนิดของไวรัสได้อย่างชัดเจน แพทย์จึงมักใช้วิธีนี้ในการวินิจฉัยโรคเริมที่อวัยวะเพศ เนื่องจากมีความแม่นยำสูง
การเพาะเชื้อ
แพทย์จะนำตัวอย่างเนื้อเยื่อหรือขูดบาดแผลเพื่อนำตรวจหาเชื้อไวรัส HSV อย่างละเอียดด้วยกล้องจุลทรรศน์ในห้องทดลอง
การตรวจเลือด
เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัส HSV และภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสในร่างกายผ่านทางการตรวจเลือดของผู้ป่วย
การรักษาเริมที่อวัยวะเพศ
ในปัจจุบันโรคเริมยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมและบรรเทาอาการได้โดยการใช้ยาต้านไวรัส เช่น ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) ซึ่งจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นในผู้ที่เพิ่งมีอาการ บรรเทาความรุนแรง ลดระยะเวลา และความถี่ของการกลับมาเกิดซ้ำ อีกทั้งลดโอกาสการแพร่เชื้อไวรัสสู่ผู้อื่น ซึ่งแพทย์อาจให้ผู้ป่วยรับประทานยาตั้งแต่ที่ผู้ป่วยเริ่มแสดงอาการ
นอกจากนี้ ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ เช่น การใช้ยาแก้ปวดทั่วไปเพื่อบรรเทาอาการ ใช้สบู่อ่อน ๆ อาบน้ำอุ่น รักษาความสะอาดบริเวณที่ติดเชื้อและทำให้แห้งอยู่เสมอ สวมชั้นในผ้าฝ้ายเพื่อไม้ให้เกิดความอับชื้นบริเวณที่ติดเชื้อ
ภาวะแทรกซ้อนของเริมที่อวัยวะเพศ
เริมที่อวัยวะเพศอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น
- การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น โดยเชื้ออาจเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศ
- ในบางกรณีเริมที่อวัยวะเพศอาจส่งผลให้เกิดการอักเสบบริเวณท่อปัสสาวะ ซึ่งอาการบวมที่เกิดขึ้นอาจขัดขวางช่องทางปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยต้องใช้ท่อสวนเพื่อระบายปัสสาวะ
- การอักเสบบริเวณทวารหนัก เนื่องจากผู้ป่วยอาจติดเชื้อเริมที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย มักพบในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เนื่องจากเชื้อไวรัสอาจก่อให้เกิดการอักเสบบริเวณเยื่อบุผิวและน้ำไขสันหลัง ซึ่งอยู่ล้อมรอบสมองและไขสันหลัง
- อาจเกิดบาดแผลบริเวณอื่นในช่วงเวลาที่มีการติดเชื้อ เช่น สะโพก ขาหนีบ ต้นขา นิ้ว หรือตา เป็นต้น
- หากเกิดการติดเชื้อในเด็กแรกเกิดในระหว่างการคลอดอาจส่งผลให้สมองของทารกถูกทำลาย ตาบอด หรืออาจเสียชีวิต
นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจรู้สึกอับอาย ลำบากใจ หรือเกิดความรู้สึกด้านลบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย กิจกรรมทางเพศ และความสัมพันธ์รอบข้าง
การป้องกันเริมที่อวัยวะเพศ
แม้ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันโรคเริม แต่อาจลดความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อและการแพร่เชื้อไวรัสต้นเหตุของเริมที่อวัยวะเพศได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อและผู้ที่กำลังมีอาการปรากฏอยู่บริเวณอวัยวะเพศ รวมไปถึงผู้ติดเชื้อควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เช่นกัน เนื่องจากอาจส่งต่อเชื้อสู่ผู้อื่น