ความหมาย เลือดกำเดาไหล (Nosebleed)
เลือดกำเดาไหล เป็นอาการเลือดไหลที่ออกจากรูจมูกเนื่องมาจากเส้นเลือดภายในโพรงจมูกแตก ซึ่งอาจเกิดเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง โดยอาการนี้ส่วนใหญ่มักไม่ใช่สัญญาณอันตรายของโรคร้ายแรง เพราะเส้นเลือดภายในโพรงจมูกค่อนข้างเปราะบาง แต่ก็มีบางกรณีเช่นกันที่อาจเป็นสัญญาณของอาการป่วยรุนแรงได้เช่นกัน
เลือดกำเดาไหลสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิด ตามลักษณะการเกิด ได้แก่ ชนิดเลือดที่ออกมาจากโพรงจมูกทางส่วนหน้า ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดบริเวณจมูกส่วนหน้าแตกและมักไม่ก่อให้เกิดอันตราย และชนิดเลือดที่ออกมาจากโพรงจมูกทางส่วนหลัง ซึ่งเป็นชนิดที่เกิดจากเส้นเลือดบริเวณที่อยู่ลึกเข้าไปในโพรงจมูกแตกและมักไหลเข้าไปในลำคอจนอาจเป็นอันตรายได้
อาการของเลือดกำเดาไหล
ผู้ที่มีอาการเลือดกำเดาไหลมักพบว่า มีเลือดไหลออกจากรูจมูก โดยอาจไหลออกมาเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ซึ่งปริมาณของเลือดอาจไหลออกมามากหรือน้อยก็ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของเส้นเลือดที่แตก และเลือดมักจะไหลในระยะเวลาสั้น ๆ แล้วหยุดไหลไปเองภายในเวลาประมาณ 10–15 นาที หรืออาจมากกว่านั้น ตามแต่กรณี
ทั้งนี้ แม้อาการเลือดกำเดาไหลส่วนใหญ่จะไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรง แต่หากผู้ป่วยมีเลือดกำเดาไหลออกมาอย่างผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย โดยสังเกตจากอาการสำคัญดังต่อไปนี้
- เลือดกำเดาไหลไม่หยุดแม้ผ่านไปแล้วกว่า 20 นาที
- เลือดกำเดาไหลซ้ำอีกหลายรอบ
- รู้สึกเวียนหัว หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม
- หัวใจเต้นเร็ว หรือหายใจไม่ออก
- กระอักเลือด หรืออาเจียนเป็นเลือด
- มีผื่นขึ้นตามตัว หรือมีไข้สูง
สาเหตุของเลือดกำเดาไหล
เลือดกำเดาไหลเกิดจากเส้นเลือดฝอยหรือเส้นเลือดใหญ่ภายในจมูกแตก ซึ่งโดยทั่วไปมักมีสาเหตุมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
- ล้วงหรือแคะจมูก
- จามบ่อย ๆ
- สั่งน้ำมูกแรงเกินไป
- จมูกได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง หรือการประสบอุบัติเหตุ
- อุณหภูมิและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในอากาศหนาว หรืออากาศแห้ง โดยผู้ป่วยในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักเป็นเด็กที่มีอายุอยู่ในช่วง 2–10 ปี และผู้สูงวัยที่มีอายุอยู่ในช่วง 50–80 ปี
- การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้โพรงจมูกแห้ง เช่น กลุ่มยารักษาโรคภูมิแพ้ ยารักษาไข้หวัด รวมทั้งยารักษาไซนัสอักเสบ อย่างยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines) และยาแก้คัดจมูก (Decongestants)
- การใช้ยาแอสไพรินในปริมาณมาก
ในกรณีที่เลือดกำเดาไหลบ่อย ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของอาการป่วยรุนแรงหรือความผิดปกติภายในร่างกาย เช่น
- มีสิ่งแปลกปลอมติดค้างอยู่ภายในจมูก
- ปฏิกิริยาแพ้ต่อสารเคมี
- โรคภูมิแพ้ หรือปฏิริยาต่อสารก่อภูมิแพ้
- ภาวะความดันโลหิตสูง
- ภาวะเลือดออกผิดปกติ
- ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เช่น โรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติของร่างกายส่งผลทำให้เลือดไม่แข็งตัว
- ภาวะหลอดหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis)
- การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน
- การเกิดมะเร็งในโพรงจมูก
การวินิจฉัยอาการเลือดกำเดาไหล
ในขั้นแรก แพทย์จะซักประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ประวัติการรักษา หรืออุบัติเหตุที่ประสบมา แล้วใช้สำลีชุบยาสอดเข้าไปในรูจมูก เพื่อให้หลอดเลือดภายในโพรงจมูกหดตัวและลดอาการบวมลง ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นและตรวจหาสิ่งแปลกปลอมหรือความผิดปกติภายในโพรงจมูกที่อาจเป็นสาเหตุได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในกรณีที่แพทย์ต้องการผลที่แน่ชัด แพทย์อาจต้องใช้วิธีการอื่นในการตรวจวินิจฉัยร่วมด้วย ได้แก่
- กล้องส่องตรวจภายในโพรงจมูก (Nasal Endoscopy) แพทย์จะสอดกล้องขนาดเล็กเข้าไปทางรูจมูก เพื่อตรวจหาความผิดปกติภายในโพรงจมูกในบริเวณที่ยากต่อการมองเห็น
- การตรวจเลือดเพื่อดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC) เพื่อตรวจหาโรคเลือด หรือความผิดปกติเกี่ยวกับเลือด เช่น ตรวจดูปริมาณของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด
- การตรวจเลือดเพื่อวัดระยะเวลาที่เลือดจะแข็งตัว (Partial Thromboplastin Time: PTT) โดยทั่วไปเลือดจะแข็งตัวที่เวลาประมาณ 25–35 วินาที แต่หากผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด อาจใช้เวลานานกว่านั้น
- การตรวจวินิจฉัยภาพถ่ายจากการฉายรังสีบริเวณโพรงจมูก เช่น การเอกซเรย์ (X–ray) หรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
การรักษาอาการเลือดกำเดาไหล
อาการเลือดกำเดาไหลรักษาได้ 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ การรักษาด้วยตัวเองในเบื้องต้น และการรักษาทางการแพทย์ โดยมีวิธีดังต่อไปนี้
การรักษาด้วยตนเอง
โดยปกติ เลือดกำเดาที่ไหลมักเป็นอาการที่ไม่รุนแรงและไม่เป็นอันตราย ซึ่งร่างกายจะมีกลไกที่ทำให้เลือดแข็งตัวและหยุดไหลไปเอง แต่ผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาอาการได้ด้วยตนเองที่บ้าน โดยไม่ต้องไปพบแพทย์ ซึ่งสามารถทำได้โดยขั้นตอนดังต่อไปนี้
- นั่งอยู่กับที่นิ่ง ๆ เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบรูจมูก แล้วหายใจทางปากประมาณ 10 นาทีแล้วปล่อยมือ โดยหากเลือดกำเดายังไม่หยุดไหล ให้ทำตามขั้นตอนเดิมซ้ำอีกครั้ง
- หากมีเลือดที่ไหลลงในปากหรือลำคอ ให้คายเลือดออกมา อย่ากลืนเลือดลงไป รวมถึงต้องไม่นอนราบ และไม่เงยหน้าขึ้นในขณะที่เลือดกำเดาไหล เพราะอาจกลืนเลือดลงไปในกระเพาะ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองที่อาจนำไปสู่อาการป่วยอื่น ๆ ตามมา เช่น การอาเจียน
- ในระหว่างนี้ อาจใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็งวางไว้บริเวณดั้งจมูก และไม่พ่นจมูก สั่งน้ำมูก หรือล้วงแคะจมูก เพราะจะทำให้อาการแย่ลง
หลังจากเลือดหยุดไหล ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการพ่นจมูก สั่งน้ำมูก หรือจามเป็นเวลา 24 ชั่วโมง และหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อากาศแห้งหรือหนาวเย็นไปก่อน แต่ในกรณีที่พยายามห้ามเลือดกำเดาด้วยตนเองด้วยวิธีดังกล่าวแล้วไม่ได้ผล ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาต่อไป
การรักษาโดยแพทย์
หากเลือดกำเดาไม่หยุดไหล เมื่อไปถึงโรงพยาบาล แพทย์อาจทำการรักษาด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- ในเบื้องต้น แพทย์อาจใช้สำลีหรือผ้าก๊อซอุดรูจมูก เพื่อให้เลือดหยุดไหล หรืออาจใช้วัสดุอุดห้ามเลือดอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ หลังจากนั้นแพทย์จะอนุญาตให้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ โดยผู้ป่วยต้องใส่วัสดุอุดห้ามเลือดไว้ 2–3 วัน
- กรณีที่มีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ภายในโพรงจมูกอันเป็นเหตุทำให้เกิดเลือดกำเดาไหล แพทย์จะหาวิธีนำสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา
- หากเส้นเลือดที่แตกและเป็นสาเหตุของเลือดกำเดาไหลสามารถมองเห็นได้ชัดเจน แพทย์จะห้ามเลือดด้วยการจี้หยุดเลือดนั้นด้วยสารซิลเวอร์ไนเตรท (Silver Nitrate)
หากเลือดกำเดาเป็นชนิดเลือดที่ออกมาจากโพรงจมูกทางส่วนหลัง แพทย์อาจต้องใช้วัสดุกดห้ามเลือดสำหรับชนิดนี้โดยเฉพาะ ซึ่งแพทย์อาจใช้ยาระงับความรู้สึกและให้ยาแก้ปวดร่วมด้วย เนื่องจากการใช้วัสดุชนิดนี้อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการเจ็บปวดได้ โดยผู้ป่วยจะต้องใส่วัสดุกดห้ามเลือดทิ้งไว้ 2–3 วัน และพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
หลังรักษาด้วยการใส่วัสดุกดห้ามเลือด 2–3 วันแล้วเลือดกำเดายังไม่หยุดไหล แพทย์อาจต้องทำการผ่าตัดหรือใช้วิธีการทางรังสีวิทยาเพื่อรักษาผู้ป่วยต่อไป
ภาวะแทรกซ้อนของเลือดกำเดาไหล
เลือดกำเดาไหลอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง หรือภาวะแทรกซ้อนบางอย่างได้ เช่น
- สำลักเลือด หรืออาเจียน เนื่องจากกลืนเลือดลงไปในกระเพาะอาหารแล้วเกิดอาการแพ้
- ภาวะโลหิตจาง (Anemia) เนื่องจากการสูญเสียเลือดปริมาณมากเป็นเวลานาน
การป้องกันการเกิดเลือดกำเดาไหล
อาการเลือดกำเดาไหลอาจป้องกันได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
- ไม่พ่นจมูก สั่งน้ำมูก หรือล้วงแคะจมูกแรง ๆ และควรตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ
- หลีกเลี่ยงการเผชิญกับอากาศแห้งและหนาวเย็น หรือหากเลี่ยงไม่ได้ก็ควรทาปิโตรเลียมเจลลี่ (Petroleum Jelly) เพื่อไม่ให้ภายในโพรงจมูกแห้ง
- ไม่สูบบุหรี่ เพราะบุหรี่ทำให้จมูกแห้งและอาจทำให้เกิดอาการแพ้
- หากเลือดกำเดาไหลเกิดจากการรับประทานยา ให้ปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณและการใช้ยานั้นอย่างเหมาะสม เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านฮิสตามีน และยาแก้คัดจมูก
- หากเลือดกำเดาไหลเกิดจากปัจจัยทางการแพทย์ เช่น เป็นภูมิแพ้จมูก ป่วยไซนัสเรื้อรัง หรือป่วยด้วยโรคตับ ให้ปฏิบัติตามกระบวนการรักษาที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด
- ระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นและกระทบกระเทือนต่อจมูก เช่น สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันศีรษะในขณะเล่นกีฬาหรือต้องทำกิจกรรมที่อาจได้รับการกระทบกระเทือน