ความหมาย เลือดออกทางช่องคลอด
เลือดออกทางช่องคลอด (Vaginal Bleeding) คือภาวะสุขภาพบริเวณช่องคลอดผิดปกติ โดยทั่วไปแล้วผู้หญิงจะมีเลือดออกทางช่องคลอดทุกเดือน หรือที่เรียกว่าประจำเดือน แต่ในกรณีที่มีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงที่ไม่มีประจำเดือนนั้นอาจแสดงถึงปัญหาสุขภาพได้
ภาวะเลือดออกทางช่องคลอดแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะด้วยกัน ได้แก่
- เลือดออกทางช่องคลอดปกติ (Normal Vaginal Bleeding) เป็นเลือดของประจำเดือน ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในแต่ละช่วงรอบเดือน เนื่องจากร่างกายของผู้หญิงมีรังไข่บริเวณปีกมดลูก รูปร่างคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ ทำหน้าที่ผลิตไข่และฮอร์โมนเพศหญิง ในแต่ละช่วงรอบเดือนจะปล่อยไข่ออกมาที่ท่อนำไข่เพื่อปฏิสนธิกับอสุจิ แต่หากไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ เยื่อบุมดลูกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับตัวอ่อนจะสลายออกมาเป็นเลือดประจำเดือน ทั้งนี้ ระยะเวลาของรอบเดือนแตกต่างกันไปในแต่ละเดือน อาจมีประจำเดือนตั้งแต่ 3-10 วัน และเกิดขึ้นทุก 21-35 วัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ อายุ ความเครียด การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และพันธุกรรม
- เลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ (Abnormal Vaginal Bleeding) เกิดขึ้นในช่วงที่ไม่มีประจำเดือน โดยมีเลือดออกทางช่องคลอดมากหรือน้อยเกินไป หรือเลือดออกผิดปกติ เช่น มีเลือดทางช่องคลอดก่อนอายุ 9 ปี เลือดออกระหว่างตั้งครรภ์ เลือดออกหลังเข้าวัยทอง เป็นต้น ซึ่งสาเหตุของเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติมีได้หลายอย่าง ผู้ที่มีเลือดออกลักษณะนี้ควรพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการตรวจและรักษาต่อไป
อาการเลือดออกทางช่องคลอด
ผู้ที่มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ อาจเกิดขึ้นได้หลายกรณี ได้แก่ เลือดออกทั้งที่ยังไม่ถึงวัยมีประจำเดือนหรืออยู่ในวัยหมดประจำเดือนแล้ว เลือดออกในช่วงที่ไม่มีรอบเดือน เลือดออกระหว่างตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ที่มีเลือดออกทางช่องคลอดและมีอาการต่อไปนี้ร่วมด้วย ซึ่งควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยสาเหตุและรับการรักษาทันที
- ปวดบริเวณท้องหรืออุ้งเชิงกรานอย่างรุนแรงเฉียบพลัน
- เลือดออกทางช่องคลอดในปริมาณมากผิดปกติขณะมีประจำเดือน จนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 2 ชั่วโมง
- วิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม
- มีไข้
- อาการเลือดออกทางช่องคลอดแย่ลง หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดนานกว่า 1 สัปดาห์
สาเหตุของเลือดออกทางช่องคลอด
การมีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงที่ไม่มีประจำเดือนถือว่าผิดปกติ โดยเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ดังนี้
- ฮอร์โมนไม่สมดุล เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเป็นฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการทำงานของรอบเดือน หากระดับของฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดนี้ไม่สมดุลกันอาจทำให้เลือดออกทางช่องคลอดได้ โดยสาเหตุของความไม่สมดุลนั้นมีหลายอย่าง ได้แก่
- รังไข่ทำงานผิดปกติ หรือเกิดภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome)
- ต่อมไทรอยด์มีปัญหา
- เริ่มใช้หรือหยุดใช้ยาคุมกำเนิด ผู้ที่เริ่มใช้ยาคุมกำเนิดอาจมีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วง 3 เดือนแรก รวมทั้งอาจมีเลือดออกได้ในกรณีที่รับประทานยาคุมไม่ตรงเวลากันในแต่ละวัน ยาคุมกำเนิดที่ส่งผลให้ฮอร์โมนไม่สมดุล ได้แก่ ยาคุมแบบเม็ด ห่วงคุมกำเนิด แผ่นแปะคุมกำเนิด ยาฝัง และยาฉีดคุมกำเนิด
- ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนเป็นเลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งควรไปพบแพทย์ทันที ทั้งนี้ การตกเลือดหรือมีเลือดออกทางช่องคลอดระหว่างตั้งครรภ์ไม่ได้เกิดจากภาวะแท้งบุตรเสมอไป แต่อาจมาจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น ท้องนอกมดลูก หรือรกเกาะต่ำ นอกจากนี้ ผู้ที่คลอดบุตรหรือทำแท้งอาจมีเลือดออกจากช่องคลอดในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกได้เช่นกัน เนื่องจากมดลูกยังไม่หดรัดตัวหรือเนื้อเยื่อของตัวอ่อนยังค้างอยู่ในมดลูก
- เนื้องอกในมดลูก เป็นเนื้องอกที่เติบโตขึ้นอย่างผิดปกติในมดลูก แต่จะไม่กลายเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็ง
- การติดเชื้อ ผู้ที่ติดเชื้อบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์อาจมีเลือดออกทางช่องคลอด เนื่องจากภาวะดังกล่าวก่อให้เกิดการอักเสบและมีเลือดออกได้ โดยสาเหตุของการติดเชื้ออาจมีดังนี้
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- การสวนล้างช่องคลอด
- การมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่
- การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease: PID) ก่อให้เกิดอาการอักเสบหรือติดเชื้อที่มดลูก ท่อนำไข่ หรือรังไข่
- มะเร็ง เป็นสาเหตุของการมีเลือดออกทางช่องคลอดที่พบได้ไม่บ่อยนัก โดยผู้ป่วยมะเร็งที่อวัยวะบางส่วนของร่างกายอาจส่งผลให้เกิดเลือดออกทางช่องคลอด เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งมดลูก มะเร็งรังไข่ เป็นต้น
นอกจากนี้ การมีเลือดออกทางช่องคลอดแบบผิดปกติยังอาจเกิดจากสาเหตุนอกเหนือจากข้างต้น เช่น การสอดสิ่งของเข้าไปภายในช่องคลอด การถูกทารุณกรรมทางเพศ เครียดมากเกินไป หักโหมออกกำลังกาย ป่วยเป็นเบาหวาน ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับไทรอยด์ น้ำหนักขึ้นหรือลงผิดปกติ เป็นต้น
การวินิจฉัยเลือดออกทางช่องคลอด
ผู้ที่มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยสาเหตุ โดยแพทย์จะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรอบเดือน ลักษณะของการมีเลือดออกทางช่องคลอด รวมทั้งอาการหรือประวัติเจ็บป่วยอื่น ๆ และอาจมีการตรวจเพิ่มเติม ดังนี้
- ตรวจอุ้งเชิงกราน ผู้ป่วยที่ประจำเดือนมาไม่ปกติจำเป็นต้องตรวจร่างกายและรับการตรวจภายใน โดยเน้นตรวจการทำงานของไทรอยด์ เต้านม และบริเวณอุ้งเชิงกราน โดยการตรวจอุ้งเชิงกราน จะช่วยวินิจฉัยติ่งเนื้อปากมดลูกหรือความผิดปกติเกี่ยวกับมดลูกและรังไข่ ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจต้องตรวจอัลตราซาวด์บริเวณอุ้งเชิงกรานเพิ่ม
- ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก แพทย์จะเก็บตัวอย่างจากปากมดลูก เพื่อนำไปตรวจหาการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือดูว่ามีมะเร็งปากมดลูกหรือไม่
- ตรวจการตั้งครรภ์ หญิงที่ยังไม่เข้าสู่วัยทองและมีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงที่ไม่ได้มีประจำเดือนอาจเข้ารับการตรวจครรภ์
- ตรวจเม็ดเลือด เป็นการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เพื่อดูว่าผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจางอันเกิดจากการเสียเลือดมากเกินไปหรือไม่
- ตรวจเลือด แพทย์อาจเก็บตัวอย่างเลือดผู้ป่วยส่งตรวจ เพื่อดูความผิดปกติในการทำงานของต่อมไทรอยด์ ตับ ไต หรือนำมาใช้วัดระดับฮอร์โมนเพศ
การรักษาเลือดออกทางช่องคลอด
การรักษาภาวะเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะดังกล่าว ดังนี้
- ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล ผู้ที่มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติอันเกิดจากการทำงานของรังไข่หรือวัยใกล้หมดประจำเดือนจะได้รับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนหรือยาคุมกำเนิดที่มีโปรเจสเตอโรน เพื่อปรับระดับฮอร์โมนให้สมดุล กรณีที่ใกล้หมดประจำเดือนจะได้รับฮอร์โมนจนถึงวัยทองเพื่อให้อาการร้อนวูบวาบบรรเทาลง ทั้งนี้ ระหว่างรับประทานยาคุมกำเนิดควรสังเกตตนเองด้วยว่าประจำเดือนมาปกติหรือไม่ และปฏิบัติตามคำแนะนำในการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ที่มีเลือดออกทางช่องคลอดจะได้รับการตรวจจากสูตินรีแพทย์ทันที เพื่อวินิจฉัยสาเหตุและรับการรักษาต่อไป
- เนื้องอกในมดลูก ผู้ป่วยบางรายที่มีติ่งเนื้อหรือเนื้องอกในมดลูกอาจต้องผ่าตัดเอามดลูกออก เพื่อควบคุมเลือดไหลออกทางช่องคลอด
- การติดเชื้อ ผู้ที่มีเลือดออกทางช่องคลอดอันเกิดจากการติดเชื้อจะได้รับยาปฏิชีวนะ
- เนื้อร้าย หากเกิดเนื้อร้ายขึ้นที่ผนังมดลูก เบื้องต้นแพทย์จะให้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสำหรับลดการเติบโตของเนื้อร้ายดังกล่าว ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม หากแพทย์วินิจฉัยไม่พบสาเหตุของการมีเลือดออกทางช่องคลอดอย่างแน่ชัด ผู้ป่วยจะได้รับยาคุมกำเนิด เพื่อช่วยปรับรอบเดือนและบรรเทาภาวะเลือดออกให้น้อยลง แต่หากการรักษาด้วยยาไม่ได้ผลอาจต้องเข้ารับการขูดมดลูก เพื่อควบคุมเลือดออกมากเกินไปและตรวจหาความผิดปกติของเยื่อบุมดลูกเพิ่มเติม ส่วนในรายที่ไม่ตอบสนองต่อวิธีการรักษาอื่น อาจต้องเข้ารับการผ่าตัดเอามดลูกออกไป
ภาวะแทรกซ้อนของเลือดออกทางช่องคลอด
ผู้ที่ประสบภาวะเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติบางรายอาจหายได้เอง อย่างไรก็ตาม ภาวะเลือดออกทางช่องคลอดอันเกิดจากปัญหาสุขภาพบางอย่างจำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์อย่างเหมาะสม เนื่องจากอาการอาจกำเริบและแย่ลงหากปล่อยไว้และไม่ได้รักษา อีกทั้งภาวะเลือดออกทางช่องคลอดที่เกิดจากการติดเชื้อ มะเร็ง หรือปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่น ๆ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้
การป้องกันเลือดออกทางช่องคลอด
ภาวะเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติไม่มีวิธีป้องกันที่ครอบคลุม เนื่องจากเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อย่างไรก็ดี สาเหตุบางอย่างอาจมีแนวทางป้องกัน ดังนี้
- รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากการมีน้ำหนักตัวมากหรือต่ำเกินไปจะเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติได้
- ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดควรรับประทานยาตามแนวลูกศรและรับประทานให้ตรงกับเวลาเดิมทุกวัน ส่วนผู้ที่รับฮอร์โมนบำบัดควรรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกเดือนเช่นกัน
- ควรออกกำลังกายหรือหาเวลาผ่อนคลายเพื่อลดความเครียด
- รับประทานยาแก้ปวดที่ไม่มีสเตียรอยด์ เช่น นาพรอกเซน หรือไอบูโพรเฟน และเลี่ยงรับประทานยาแอสไพริน เนื่องจากจะทำให้เสี่ยงมีเลือดออกมากขึ้น ที่สำคัญควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยาและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด