แผลกดทับ (Bedsore/Pressure sore)

ความหมาย แผลกดทับ (Bedsore/Pressure sore)

แผลกดทับ (Bedsore/Pressure sore) คือ อาการบาดเจ็บที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อ ซึ่งเกิดจากแรงกดทับเป็นเวลานาน โดยแผลกดทับมักเกิดบริเวณผิวหนังหุ้มกระดูก เช่น ส้นเท้า ข้อเท้า สะโพก หรือกระดูกก้นกบ ซึ่งผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวหรือการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ และทำให้ต้องนอนบนเตียงหรือนั่งรถเข็นตลอดเวลา อาจเสี่ยงเกิดแผลกดทับได้ รวมไปถึงผู้สูงอายุอีกด้วย

แผลกดทับเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่แล้ว แผลกดทับมักรักษาให้ดีขึ้นได้ แต่ผู้ป่วยบางรายอาจรักษาให้หายขาดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เสี่ยงเกิดแผลกดทับควรดูแลตนเองด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะดังกล่าว

แผลกดทับ

สาเหตุของแผลกดทับ

แผลกดทับเกิดจากอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายได้รับแรงกดเป็นเวลานาน ซึ่งอาจส่งผลให้เลือดที่ลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารต่าง ๆ ที่จำเป็นและช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณดังกล่าวไม่เพียงพอ หากเลือดไม่ไปเลี้ยงอวัยวะที่ถูกดทับ เนื้อเยื่อของอวัยวะดังกล่าวจะถูกทำลายและเริ่มตาย 

นอกจากนี้ การที่เลือดไหลเวียนไปยังบริเวณดังกล่าวไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้ผิวหนังไม่ได้รับเซลล์เม็ดเลือดขาวสำหรับต้านทานเชื้อโรค ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่แผลกดทับได้ โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลกดทับอาจมีดังนี้

  • แรงกด ผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายไม่ค่อยได้ และต้องนั่งหรือนอนตลอดเวลา อาจส่งผลให้เกิดการกดทับที่บริเวณต่าง ๆ เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกก้นกบ หัวไหล่ สะโพก ส้นเท้า และข้อศอก และทำให้เกิดแผลกดทับตามมา
  • การเสียดสี ผิวหนังที่เสียดสีกับเสื้อผ้าหรือผ้าปูที่นอนจะเกิดแผลกดทับได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่ผิวหนังเกิดความอับชื้น
  • แรงเฉือน (Shear) มักเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยนอนไถลตัวลงมาในขณะที่เตียงปรับระดับสูง ส่งผลให้กระดูกก้นกบเคลื่อนที่ ในขณะที่ผิวหนังบริเวณก้นกบถูกดึงรั้งติดอยู่กับเตียงนอน

ทั้งนี้ ยังอาจมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดแผลกดทับ ดังนี้

ปัญหาการเคลื่อนไหว

ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกายเสี่ยงเกิดแผลกดทับได้ โดยปัญหาดังกล่าวอาจเกี่ยวเนื่องกับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น

  • การได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลัง ซึ่งส่งผลให้ขยับแขนหรือขาไม่ได้
  • การเป็นอัมพาต เนื่องจากสมองถูกทำลายจากโรคหลอดเลือดในสมองหรือได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง 
  • ป่วยเป็นโรคบางอย่างอันทำลายเส้นประสาทที่ใช้ในการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่อง เช่น อัลไซเมอร์ โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง หรือพาร์กินสัน
  • เกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนเคลื่อนไหวร่างกายบางส่วนหรือทั้งหมดได้ไม่ถนัด
  • กระดูกแตกหรือกระดูกหัก 
  • พักฟื้นจากการเข้ารับผ่าตัด
  • ประสบภาวะโคม่า
  • ประสบปัญหาสุขภาพที่ทำให้เคลื่อนไหวข้อต่อหรือกระดูกลำบาก เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

โภชนาการไม่ดี

แผลกดทับอาจเกิดจากการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการร่างกาย ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น

  • โรคอะนอเร็กเซีย ปัญหาสุขภาพจิตที่ผู้ป่วยยึดติดกับการลดน้ำหนักตัวให้ผอมลงเรื่อย ๆ โดยใช้วิธีลดน้ำหนักที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
  • ภาวะขาดน้ำ ภาวะที่ร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ
  • การกลืนลำบาก ปัญหาเกี่ยวกับการกลืนอาหารที่ทำให้กลืนอาหารได้ยาก

ปัญหาสุขภาพบางอย่าง

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคบางอย่างอาจเสี่ยงเกิดแผลกดทับได้ง่าย โดยปัญหาสุขภาพที่เอื้อให้เกิดแผลกดทับนั้นประกอบด้วย

  • เบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอาจส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกาย
  • เส้นเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (Peripheral Arterial Disease) ผู้ป่วยโรคนี้ประสบภาวะเลือดไปเลี้ยงที่ขาไม่ได้ เนื่องจากเกิดการอุดตันของไขมันที่หลอดเลือดแดง
  • หัวใจวาย ผู้ที่ประสบภาวะหัวใจวายเกิดจากการที่ร่างกายสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ได้ไม่เพียงพอ
  • ไตวาย ผู้ป่วยไตวายจะสูญเสียสมรรถภาพการทำงานของไต ส่งผลให้เกิดสารพิษในเลือด ซึ่งก่อให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อ
  • โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease) ผู้ป่วยโรคนี้จะมีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ ส่งผลให้ผิวหนังถูกทำลายได้ง่าย

อายุมากขึ้น

ผู้ที่อายุมากขึ้นเสี่ยงเกิดแผลกดทับได้ง่าย เนื่องจากผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงผิวหนังน้อยลง รวมทั้งไขมันใต้ผิวหนังลดลง ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการเสื่อมสภาพตามวัย

ปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่ายและปัสสาวะ

ผู้ป่วยที่ประสบภาวะกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้จะมีผิวหนังบางส่วนที่อับชื้น ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลกดทับได้ง่าย ทั้งนี้ ผิวหนังที่อับชื้นยังทำให้เกิดแผลกดทับติดเชื้อได้ง่ายอีกด้วย

ปัญหาสุขภาพจิต

ผู้ที่ประสบปัญหาสุขภาพจิตร้ายแรง เช่น โรคจิตเภทหรือโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรงเสี่ยงเกิดแผลกดทับได้ง่าย เนื่องจากโภชนาการไม่ดีและป่วยเป็นโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เบาหวาน หรือภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ทั้งนี้ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตบางรายอาจรักษาความสะอาดไม่ดี ส่งผลให้ผิวหนังได้รับบาดเจ็บและติดเชื้อได้ง่าย

อาการของแผลกดทับ

อวัยวะที่เสี่ยงเกิดแผลกดทับได้มากนั้นมักเป็นบริเวณที่ไม่มีไขมันปกคลุมผิวหนังมากและต้องรับแรงกดทับโดยตรง ผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้และต้องนอนบนเตียงตลอดเวลาเสี่ยงเกิดแผลกดทับที่ไหล่ ข้อศอก ท้ายทอย ข้างใบหู เข่า ข้อเท้า ส้นเท้า เท้า กระดูกสันหลัง หรือกระดูกก้นกบ 

สำหรับผู้ที่ต้องนั่งรถเข็นเป็นเวลานานเสี่ยงเกิดแผลกดทับที่ก้น หลังแขน หลังต้นขา หรือด้านหลังของกระดูกสะโพก 

โดยผู้ป่วยอาจมีอาการแผลกดทับหลายอย่างเกิดขึ้น ได้แก่ สีหรือลักษณะผิวหนังเกิดความผิดปกติ มีอาการบวม มีหนองออกมา รู้สึกอุ่นหรือเย็นตรงผิวหนังที่เกิดแผลกดทับ เมื่อกดแล้วมักรู้สึกเจ็บบริเวณที่เป็นแผลกดทับ 

ทั้งนี้ อาการของแผลกดทับจะรุนแรงขึ้นตามระยะต่าง ๆ ดังนี้

ระยะที่ 1

แผลกดทับระยะนี้จะไม่เปิดออก มีลักษณะอุ่น นุ่มหรือแข็ง ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บและระคายเคืองผิวหนัง บริเวณแผลจะไม่มีสี ผู้ที่มีผิวขาวอาจเกิดรอยแดง ส่วนผู้ที่มีผิวเข้มอาจเกิดสีเขียวอมม่วง เมื่อกดลงไปบนแผล แผลจะไม่กลายเป็นสีขาว

ระยะที่ 2

แผลกดทับระยะนี้เป็นแผลเปิดหรือมีแผลตุ่มน้ำพอง เนื่องจากหนังกำพร้าบางส่วนและหนังแท้ถูกทำลาย ส่งผลให้ผิวหนังหลุดลอก ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บที่แผลมากขึ้น

ระยะที่ 3

แผลจะมีลักษณะเป็นโพรงลึก ซึ่งอาจเห็นไขมันที่แผล เนื่องจากผิวหนังทั้งหมดหลุดออกไป รวมทั้งเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกลงไปในชั้นผิวหนังถูกทำลาย

ระยะที่ 4

แผลกดทับระยะนี้ถือว่าร้ายแรงที่สุด โดยผิวหนังทั้งหมดถูกทำลายอย่างรุนแรง รวมทั้งเนื้อเยื่อที่อยู่ล้อมรอบเริ่มตาย หรือที่เรียกว่าเนื้อเยื่อตายเฉพาะส่วน (Tissue Necrosis) กล้ามเนื้อและกระดูกที่อยู่ลึกลงไปอาจถูกทำลายด้วย

อาการแผลกดทับที่ควรไปพบแพทย์

หากสังเกตเห็นสัญญาณของแผลกดทับ ควรขยับร่างกายปรับเปลี่ยนท่าทางเพื่อบรรเทาแรงกดทับตรงบริเวณดังกล่าว หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 24–48 ชั่วโมง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง 

สำหรับผู้ที่มีอาการแผลติดเชื้อ เช่น ไข้ขึ้น มีของเหลวซึมมาจากแผล แผลมีกลิ่นผิดปกติ แผลเริ่มแดงหรือบวมมากขึ้น จับแผลแล้วรู้สึกอุ่น ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที

การวินิจฉัยแผลกดทับ

เบื้องต้นแพทย์จะตรวจดูว่าผู้ป่วยเสี่ยงเกิดแผลกดทับหรือไม่ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะดังกล่าว แพทย์จะพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วย ได้แก่ สุขภาพโดยรวม สมรรถภาพการเคลื่อนไหวร่างกาย ปัญหาสุขภาพที่ส่งผลต่อการจัดท่าทาง อาการบ่งชี้การติดเชื้อ ภาวะสุขภาพจิต ประวัติการเกิดแผลกดทับ ปัญหาเกี่ยวกับการกลั้นปัสสาววะและอุจจาระ โภชนาการ และระบบไหลเวียนโลหิต 

ทั้งนี้ แพทย์อาจขอตรวจเลือดเพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และดูว่าได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายหรือไม่ รวมทั้งขอตรวจปัสสาวะสำหรับดูการทำงานของไตและการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

นอกจากนี้ การวินิจฉัยแผลกดทับสามารถทำได้ด้วยตนเอง โดยสังเกตอวัยวะต่าง ๆ ว่าผิวหนังมีสีผิวซีดลง แข็ง และนุ่มกว่าปกติหรือไม่ หากพบว่าเกิดอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาต่อไปทันที

การรักษาแผลกดทับ

การรักษาแผลกดทับมักเน้นไปที่การช่วยให้ผู้ป่วยเกิดแรงกดทับที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งน้อยลง การดูแลรักษาแผล การบรรเทาอาการเจ็บแผล การป้องกันการติดเชื้อ และการช่วยให้ผู้ป่วยมีโภชนาการที่ดี 

วิธีรักษาแผลกดทับมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระยะของอาการที่เป็น โดยผู้ป่วยที่มีแผลกดทับระยะที่ 1 และระยะที่ 2 สามารถหายได้หากได้รับการดูแลอย่างใส่ใจ ส่วนผู้ป่วยระยะที่ 3 และระยะที่ 4 อาจใช้เวลารักษานานกว่า ซึ่งวิธีการรักษาอาจมีดังนี้

การลดแรงกดทับ

วิธีรักษาแผลกดทับขั้นแรก คือลดการกดทับอวัยวะที่เกิดภาวะดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดแรงกดทับมากขึ้นและลดการเสียดสีของผิวหนัง ซึ่งอาจทำได้ดังนี้

  • ปรับเปลี่ยนหรือขยับร่างกายบ่อย ๆ ผู้ที่นั่งรถเข็นควรขยับร่างกายทุก 15 นาที หรือเปลี่ยนท่านั่งทุกชั่วโมง ส่วนผู้ที่นอนบนเตียงควรเปลี่ยนท่านอนทุก 2 ชั่วโมง
  • ใช้ที่นอนหรือเบาะรองนั่งที่ช่วยหนุนร่างกายให้นั่งหรือนอน โดยไม่ทำให้ผิวหนังดึงรั้งกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดแผลกดทับได้

การดูแลแผล

การดูแลแผลกดทับขึ้นอยู่กับว่าแผลลึกมากน้อยแค่ไหน โดยทั่วไปแล้ว แผลกดทับสามารถดูแลรักษาได้ ดังนี้

  • หากผิวหนังที่เกิดแผลกดทับไม่เปิดออกหรือเป็นแผลปิด ให้ล้างแผลด้วยสบู่สูตรอ่อนโยนและน้ำสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้ง ส่วนผู้ที่แผลเปิดออกให้ล้างด้วยน้ำเกลือสำหรับล้างแผลทุกครั้งเมื่อต้องทำแผล
  • พันแผลเพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เนื่องจากช่วยให้แผลชุ่มชื้นอยู่เสมอ อีกทั้งยังลดการเสียดสีที่ผิวหนัง
  • ใช้แผ่นปิดแผลกดทับโพลียูรีเทน (Polyurethane) ซึ่งเป็นแผ่นโฟมที่ใช้ดูดซับของเหลวจากแผล ป้องกันน้ำและเชื้อโรคต่าง ๆ ช่วยสร้างและคงสภาพความชื้นที่เหมาะสม และช่วยกระตุ้นให้แผลหายเร็ว โดยแผ่นปิดแผลกดทับโพลียูรีเทนไม่ทำให้ติดแผล มีหลายขนาด และช่วยลดแรงกดทับอีกด้วย

การรักษาเนื้อเยื่อตาย

แผลกดทับจะรักษาให้หายได้นั้นต้องไม่เกิดการติดเชื้อหรือเนื้อเยื่อตาย ผู้ป่วยที่มีเนื้อเยื่อตายจะได้รับการรักษา ดังนี้

  • การผ่าตัดเนื้อตาย แพทย์จะทำความสะอาดแผลและตัดเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายออกไป
  • ยาปฏิชีวนะ ผู้ป่วยอาจได้รับยาปฏิชีวินะเพื่อรักษาอาการติดเชื้อและป้องกันไม่ให้เกิดการลุกลาม
  • ครีมหรือขี้ผึ้งสำหรับทารักษา ช่วยให้แผลหายไวขึ้นและป้องกันเนื้อเยื่ออื่นถูกทำลาย

การรักษาอื่น ๆ

ผู้ป่วยแผลกดทับอาจได้รับการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ ดังนี้

  • ยาแก้ปวดเฉพาะที่ ผู้ป่วยอาจได้รับยาแก้ปวดเฉพาะที่หรือยาบรรเทาอาการปวดที่ไม่ผสมสารสเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน หรือนาพรอกเซน
  • อาหารเสริม แพทย์อาจให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารเสริมอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น โปรตีน สังกะสี และวิตามิน เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น หากร่างกายขาดวิตามินหรือแร่ธาตุดังกล่าว จะส่งผลให้เกิดแผลกดทับที่ผิวหนังได้ง่าย
  • การผ่าตัด ผู้ป่วยแผลกดทับที่รักษาแผลให้หายไม่ได้ จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด โดยนำส่วนของกล้ามเนื้อ ผิวหนัง หรือเนื้อเยื่อในร่างกายตนเองมาปิดแผลและใส่รองกระดูกที่ได้รับผลกระทบจากแผลกดทับ

ทั้งนี้ แผลกดทับจัดเป็นปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อน จำเป็นต้องมีกลุ่มรักษาที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลายด้าน ได้แก่ แพทย์ผู้ดูแลแผนการรักษา แพทย์ผิวหนัง ศัลยแพทย์ด้านประสาท กระดูก และศัลยกรรมตกแต่ง พยาบาล นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด และนักโภชนาการ

ภาวะแทรกซ้อนจากแผลกดทับ

ผู้ป่วยที่เกิดแผลกดทับอาจประสบภาวะแทรกซ้อนได้ โดยภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นในช่วงระยะ 3 ไปสู่ระยะ 4 ซึ่งอันตรายถึงชีวิต ผู้ป่วยมักประสบภาวะแทรกซ้อนจากแผลกดทับรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้

เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis)

แผลกดทับอาจส่งผลให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเกิดการติดเชื้อ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอาการบวม แดง สัมผัสแล้วรู้สึกอุ่น ผู้ป่วยที่เส้นประสาทถูกทำลายจะไม่รู้สึกเจ็บปวดบริเวณที่เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ หากไม่เข้ารับการรักษา อาจเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือดหรือติดเชื้อที่กระดูกและข้อต่อได้

ทั้งนี้ ผู้ที่เกิดแผลกดทับบริเวณหลังส่วนล่าง กระดูกก้นกบ และกระดูกสันหลัง หากเนื้อเยื่อติดเชื้อมากขึ้น อาจประสบภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ติดเชื้อในกระแสเลือด

ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอที่มีแผลกดทับติดเชื้ออาจเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือดได้สูง ภาวะนี้จะทำลายอวัยวะต่าง ๆ ส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำลงมากจนถึงขั้นอันตรายต่อชีวิต โดยผู้ป่วยจะตัวเย็นและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน เพื่อให้ร่างกายกลับมาทำงานปกติ รวมทั้งรับยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสเพื่อรักษาอาการติดเชื้อ

ติดเชื้อที่กระดูกและข้อต่อ

แผลกดทับที่ติดเชื้ออาจลุกลามลงไปที่ข้อต่อหรือกระดูก หรือที่เรียกว่าภาวะข้ออักเสบจากการติดเชื้อและภาวะกระดูกอักเสบ โดยภาวะข้ออักเสบติดเชื้อจะทำลายกระดูกอ่อนและเนื้อเยื่อ ส่วนภาวะกระดูกอักเสบจะทำให้การทำงานของข้อต่อและแขนขาลดน้อยลง ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ หรือเข้ารับการผ่าตัดนำกระดูกหรือข้อต่อที่ติดเชื้อออกไปในกรณีที่เกิดการติดเชื้อรุนแรง

เนื้อเน่า (Necrotising Fasciitis)

โรคเนื้อเน่าจัดเป็นภาวะติดเชื้อผิวหนังที่รุนแรง โดยการติดเชื้อที่ลึกถึงระดับเนื้อเยื่อหุ้มกล้ามเนื้ออาจทำให้เนื้อเยื่อตายอย่างรวดเร็ว โดยภาวะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อแผลกดทับเกิดการติดเชื้อจากแบคทีเรียบางชนิด เช่น เชื้อสเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ (Group A Streptococci) ผู้ป่วยที่เกิดเนื้อเน่าจำเป็นต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน โดยรับยาปฏิชีวนะควบคู่กับการผ่าตัดนำเนื้อเยื่อที่ตายออกไป

เนื้อเน่าแบบมีก๊าซ (Gas Gangrene)

โรคนี้คือการติดเชื้อรุนแรงที่พบได้ไม่บ่อยนัก โดยจะเกิดการติดเชื้อจากแบคทีเรียคลอสตริเดียม (Clostridium) ซึ่งมักเจริญเติบโตอยู่ในที่ที่มีออกซิเจนน้อยมาก แบคทีเรียชนิดนี้จะผลิตก๊าซและปล่อยสารพิษออกมา ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการบวมและเจ็บแผลอย่างรุนแรง 

ผู้ที่เกิดหนังเน่าจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดนำหนังส่วนที่เน่าออกไป ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่เกิดอาการรุนแรงมากจำเป็นต้องตัดอวัยวะส่วนที่เกิดภาวะดังกล่าว เพื่อป้องกันการลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น

มะเร็งบางชนิด

ผู้ป่วยแผลกดทับที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

การป้องกันแผลกดทับ

ผู้ที่เสี่ยงเกิดแผลกดทับสามารถป้องกันภาวะดังกล่าวได้โดยดูแลตนเองด้านต่าง ๆ ดังนี้

การจัดท่าทาง

การปรับเปลี่ยนท่าทางของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอช่วยป้องกันการเกิดแผลกดทับได้ดี เนื่องจากวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยเลี่ยงออกแรงกดทับจากการนอนหรือนั่งไปที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นเวลานาน ซึ่งการจัดท่าทางสำหรับเลี่ยงการเกิดแรงกดทับทำได้ ดังนี้

  • ปรับเปลี่ยนท่าทางขณะนั่งบนรถเข็นทุก ๆ 15 นาที และพลิกตัวเปลี่ยนท่านอนอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อถ่ายน้ำหนักตัวไม่ให้กดทับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นเวลานาน
  • ผู้ป่วยที่ต้องนั่งรถเข็นอาจใช้แขนดันร่างกายส่วนบนให้ยกขึ้นเป็นบางครั้ง
  • ควรเลือกรถเข็นที่ปรับระดับได้ เพื่อช่วยผ่อนแรงกดทับ
  • ควรเลือกเบาะรองนั่งหรือเตียงนอนที่ช่วยผ่อนแรงกดและปรับท่าทางให้นั่งหรือนอนได้สบาย
  • ปรับเตียงให้สูงขึ้นไม่เกิน 30 องศา เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังบริเวณก้นกบดึงรั้งกันจนเกิดแผลกดทับ

โภชนาการ

การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารจำพวกโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่อย่างหลากหลายจะช่วยป้องกันผิวหนังถูกทำลายและช่วยให้อาการป่วยหายเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยแผลกดทับที่รู้สึกอยากอาหารน้อยลอันเนื่องมาจากปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นนั้น สามารถปรับพฤติกรรมการกินเพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน ดังนี้

  • แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อย่อย รวมทั้งรับประทานอาหารให้เป็นเวลา ซึ่งจะช่วยให้ได้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
  • เลี่ยงดื่มเครื่องดื่มหรือน้ำเปล่าในปริมาณมากก่อนรับประทานอาหาร เนื่องจากจะทำให้รู้สึกอิ่มเกินไป
  • ดื่มเครื่องดื่มที่อุดมไปสารอาหารหรือรับประทานอาหารอ่อน ๆ ในกรณีที่กลืนอาหารลำบาก
  • ผู้ที่รับประทานอาหารมังสิวรัติควรรับประทานอาหารโปรตีนสูงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ เช่น ชีส โยเกิร์ต เนยถั่ว หรือถั่วต่าง ๆ

ความสะอาดของผิวหนัง

ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือป่วยเป็นโรคที่เสี่ยงเกิดแผลกดทับ ควรหมั่นตรวจผิวหนังของตนเองว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือความผิดปกติใด ๆ หรือไม่ รวมทั้งดูแลรักษาผิวหนังตนเอง ดังนี้

  • ควรล้างทำความสะอาดผิวหนังและเช็ดให้แห้งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังอับชื้น
  • ควรดูแลผิวสม่ำเสมอ เช่น ทาโลชั่นสำหรับผิวแห้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอนอย่างสม่ำเสมอ ตรวจดูกระดุมเสื้อหรือตะเข็บของผ้าปูที่นอนให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เสียดสีผิวหนัง

พฤติกรรมอื่น ๆ

ผู้ที่สูบบุหรี่ควรเลิกพฤติกรรมดังกล่าว เนื่องจากการสูบบุหรี่จะลดระดับออกซิเจนในเลือด และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ อันส่งผลให้เสี่ยงเกิดแผลกดทับได้

เขียนโดย กองบรรณาธิการ POBPAD
อัพเดทล่าสุด 28 พฤษภาคม 2567
ตรวจสอบความถูกต้องโดย กองบรรณาธิการทางการแพทย์ POBPAD