โทซิลิซูแมบ (Tocilizumab)
Tocilizumab (โทซิลิซูแมบ) เป็นยารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) ในเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ โดยออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสารก่อการอักเสบ อย่างสาร Interleukin–6 เพื่อบรรเทาอาการปวดและอาการบวม
นอกจากนี้ แพทย์ยังอาจใช้ยานี้เพื่อรักษาโรคหรือภาวะผิดปกติอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ เช่น ชะลอการเสื่อมสภาพของปอดจากโรคบางชนิด โรคหลอดเลือดขมับอักเสบ กลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์ (Cytokine Release Syndrome) ขั้นรุนแรง หรือโรคโควิด-19
เกี่ยวกับยา Tocilizumab
กลุ่มยา | โมโนโคลนอลแอนติบอดี้ (Monoclonal Antibody) |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | บรรเทาอาการปวดและอาการบวมจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็กและผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยาฉีด |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร | ในปัจจุบัน ยังไม่มีการจัดหมวดหมู่ของยาชนิดนี้จากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ FDA ซึ่งยาอาจส่งผลกระทบต่อมารดาหรือทารกในครรภ์ได้ ดังนั้น ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา Tocilizumab |
คำเตือนในการใช้ยา Tocilizumab
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
- แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทุกครั้งหากมีประวัติการแพ้ยาต่าง ๆ โดยเฉพาะยา Tocilizumab รวมถึงหากกำลังใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร วิตามิน หรือยาอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ยารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ชนิดอื่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาลดระดับคอเลสเตอรอล ยาต้านการอักเสบ ยารักษาโรคทางอารมณ์ ยารักษาโรคหัวใจ ยารักษาโรคหืด ยารักษาโรคภูมิคุ้มกัน ยารักษาโรคชัก หรือยาคุมกำเนิด
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา Tocilizumab หากกำลังป่วยหรือมีประวัติการเกิดโรคหรือภาวะผิดปกติ เช่น โรคตับ อาการติดเชื้อ โรคทางระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดต่ำ โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ โรคเบาหวาน โรคไวรัสตับอักเสบบี โรคมะเร็ง วัณโรค รวมไปถึงหากมีประวัติการเดินทางไปในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรค เป็นต้น
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ หากผู้ป่วยกำลังอยู่ในช่วงรักษาการติดเชื้อขั้นรุนแรง เช่น โรคไวรัสตับอักเสบบี วัณโรค ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือเอดส์
- การใช้ยา Tocilizumab อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดได้ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ยา Tocilizumab อาจส่งผลกระทบต่อตับของผู้ป่วยได้ ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากพบอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีเข้ม ผิวเหลือง หรือตาเหลือง
- การใช้ยา Tocilizumab อาจส่งผลให้เกิดรูในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ได้ ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากพบอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ ปวดท้อง หรือมีอาการผิดปกติในการขับถ่าย
- ระหว่างใช้ยา Tocilizumab ผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ผู้ป่วยควรล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือผู้ที่เพิ่งฉีดวัคซีนชนิดเชื้อเป็นมา เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากพบอาการผิดปกติที่เป็นสัญญาณการติดเชื้อ เช่น ไข้ขึ้น หนาวสั่น อ่อนเพลีย ปวดตามร่างกาย ไอ หายใจไม่อิ่ม ท้องเสีย น้ำหนักลดผิดปกติ ปัสสาวะแสบขัด หรือไอปนเลือด
- ในระหว่างใช้ยา Tocilizumab แพทย์อาจนัดผู้ป่วยตรวจเลือดเป็นระยะเพื่อตรวจดูความผิดปกติต่าง ๆ และการตอบสนองต่อยา ผู้ป่วยที่ใช้ยานี้ควรไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา Tocilizumab หากเพิ่งได้รับการฉีดวัคซีน หรือมีแผนจะฉีดวัคซีน
- ผู้ป่วยที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน ทั้งชนิดรับประทาน แผ่นแปะผิวหนัง และวงแหวนคุมกำเนิด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ เนื่องจากยา Tocilizumab อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดลดลง
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา Tocilizumab หากกำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร โดยเฉพาะผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากตัวยาอาจส่งผลกระทบต่อวัคซีนบางชนิดที่ฉีดให้เด็กในช่วงแรกเกิดได้
- ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน หากกำลังใช้ยา Tocilizumab
- ยา Tocilizumab อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการง่วงซึมได้ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ หรือการเข้าร่วมกิจกรรมที่ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ขณะใช้ยา Tocilizumab
ปริมาณการใช้ยา Tocilizumab
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาจะขึ้นอยู่กับอายุ ความรุนแรงของโรค น้ำหนักตัว ความเหมาะสมต่อผู้ป่วยแต่ละคน และดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
ตัวอย่างการใช้ยา Tocilizumab เพื่อรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
ยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
- ผู้ใหญ่ แพทย์อาจใช้ยา Tocilizumab เพียงชนิดเดียวหรือใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น เช่น ยาเมโธเทรกเซท (Methotrexate) หรือยาต้านรูมาติกชนิดอื่น โดยแพทย์จะให้ยาผ่านสายน้ำเกลืออย่างช้า ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ในปริมาณครั้งละ 4 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 4 สัปดาห์ หรืออาจเพิ่มปริมาณเป็นครั้งละ 8 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 4 สัปดาห์ แต่จะจำกัดปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 800 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในเด็ก (Systemic Juvenile Idiopathic Arthritis) แพทย์จะให้ยาผ่านสายน้ำเกลืออย่างช้า ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมง โดยเด็กที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่า 30 กิโลกรัม แพทย์จะให้ยาในปริมาณครั้งละ 12 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 2 สัปดาห์ และเด็กที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 30 กิโลกรัมขึ้นไป แพทย์จะให้ยาในปริมาณ 8 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 2 สัปดาห์
สำหรับการรักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์ชนิดหลายข้อในเด็ก (Juvenile Idiopathic Polyarthritis) แพทย์จะให้ยาผ่านสายน้ำเกลืออย่างช้า ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมง โดยเด็กที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่า 30 กิโลกรัม แพทย์จะให้ยาในปริมาณครั้งละ 10 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 4 สัปดาห์ ส่วนเด็กที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 30 กิโลกรัมขึ้นไป แพทย์จะให้ยาในปริมาณ 8 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก ๆ 4 สัปดาห์
ยาฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง
- ผู้ใหญ่ แพทย์อาจใช้ยา Tocilizumab เพียงชนิดเดียว หรือใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น เช่น ยาเมโธเทรกเซท (Methotrexate) หรือยาต้านรูมาติกชนิดอื่น โดยแพทย์จะฉีดยาครั้งละ 162 มิลลิกรัม สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
การใช้ยา Tocilizumab
ยา Tocilizumab เป็นยาที่ต้องฉีดโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น และแพทย์จะนัดตรวจเป็นระยะ ๆ ระหว่างใช้ยาเพื่อติดตามอาการและการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วย ดังนั้น ผู้ป่วยควรปฏิตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ โดยปริมาณยาและระยะเวลาการใช้ยาจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา หากผู้ป่วยลืมไปพบแพทย์ตามนัด ให้รีบแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Tocilizumab
ผู้ที่ใช้ยา Tocilizumab อาจพบผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย แขนขาบวม ไอ คัดจมูก เจ็บคอ หายใจลำบาก เกิดแผลในช่องปาก คันตา ตาแดง ผื่นขึ้น หรือปวดและบวมบริเวณที่ฉีดยา เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยควรไปพบแพทย์หากอาการต่าง ๆ ไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ทันที หากพบอาการผิดปกติที่รุนแรงหลังจากใช้ยา เช่น
- อาการแพ้ยา เช่น ผื่นขึ้น เวียนศีรษะขั้นรุนแรง หายใจลำบาก หรือใบหน้า ลิ้น คอเกิดอาการบวมหรือคัน
- ไอเรื้อรัง
- ไข้ขึ้น
- น้ำหนักลดผิดปกติ
- อาการปวดท้องรุนแรงขึ้น
- ระบบขับถ่ายมีปัญหา
- ปัสสาวะบ่อยขึ้น หรือรู้สึกแสบขณะปัสสาวะ
- เกิดรอยฟกช้ำ
- มีอาการที่เป็นสัญญาณของวัณโรค เช่น ไอ หายใจไม่อิ่ม เหงื่อออกตอนกลางคืน เบื่ออาหาร น้ำหนักลดผิดปกติ หรืออ่อนเพลีย
- มีอาการของการติดเชื้อ เช่น ปวดกล้ามเนื้อ ไข้ขึ้น หนาวสั่น ไอ หรือเกิดแผลพุพองบริเวณปากและผิวหนัง
- มีอาการที่เป็นสัญญาณของโรคตับที่รุนแรง เช่น คลื่นไส้เรื้อรัง อาเจียนเรื้อรัง เบื่ออาหาร ผิวเหลือง ตาเหลือง อุจจาระสีเทา หรือปัสสาวะมีสีเข้ม
- มีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกบริเวณเหงือก มีเลือดออกมาจากบริเวณช่องคลอด ปัสสาวะปนเลือด อุจจาระปนเลือด ไอปนเลือด หรืออาเจียนเป็นสีดำเข้ม