โรคพุ่มพวง (แพ้ภูมิตัวเอง)

ความหมาย โรคพุ่มพวง (แพ้ภูมิตัวเอง)

โรคพุ่มพวง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Lupus) เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายมีความผิดปกติ โดยภูมิคุ้มกันจะต่อต้านและทำลายเนื้อเยื่ออวัยวะต่าง ๆ จนเกิดเป็นอาการอักเสบเรื้อรัง ทำให้มีอาการป่วย รู้สึกเหนื่อยล้า มีผื่นแดงตามใบหน้า ตาแห้ง ตัวบวม ขาบวม ปวดหัว ปวดบวมตามข้อต่อกระดูก ผมร่วง เป็นต้น

ส่วนสาเหตุที่คนไทยเรียกโรคนี้ว่าโรคพุ่มพวง เนื่องจากพุ่มพวง ดวงจันทร์ ศิลปินนักร้องที่มีชื่อเสียงของไทยได้ป่วยและเสียชีวิตลงด้วยโรค Systemic Lupus Erythematosus (SLE) ซึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองชนิดหนึ่ง โรคแพ้ภูมิตัวเองจึงเป็นที่รู้จักและถูกเรียกต่อกันมาว่าโรคพุ่มพวง

โรคพุ่มพวง

โรคแพ้ภูมิตัวเองมีหลายชนิด เช่น

  • Systemic Lupus Erythematosus (SLE) เป็นโรคแพ้ภูมิตนเองชนิดที่พบบ่อย ภูมิคุ้มกันจะทำลายเนื้อเยื่ออวัยวะที่สมบูรณ์ ทำให้เกิดความผิดปกติต่าง ๆ เช่น ผื่นแดงบนผิวหนัง ข้ออักเสบ สมองและระบบประสาทได้รับความเสียหาย อาจเกิดอาการทางประสาทอย่างเห็นภาพหลอนร่วมด้วย รวมถึงความผิดต่อที่ข้อต่อ ไต และอวัยวะอื่น ๆ
  • Neonatal Lupus โรคแพ้ภูมิในทารกแรกเกิด
  • Drug-induced Lupus โรคแพ้ภูมิจากยา อาการแพ้เกิดจากการใช้ยาบางกลุ่มและจะหายเมื่อหยุดใช้ยานั้น
  • Discoid Lupus Erythematosus โรคที่มีผื่นแดงขึ้นที่ใบหน้าและสร้างรอยแผลเป็นหลังผื่นหาย
  • Subacute Cutaneous Lupus Erythematosus โรคผื่นกึ่งเฉียบพลัน โดยผิวหนังบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดดจะเป็นผื่น

อาการของโรคพุ่มพวง

อาการของโรคพุ่มพวงจะมีทั้งแบบที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและแบบที่ค่อย ๆ แสดงอาการ ลักษณะอาการรุนแรงน้อยไปถึงรุนแรงมาก และอาจมีอาการป่วยเพียงชั่วคราว ซึ่งเมื่อได้รับการรักษา อาการก็จะหายไป หรืออาจมีอาการต่อไปอย่างถาวรแม้ได้รับการรักษาแล้วก็ตาม

อาการที่มักพบของโรคพุ่มพวง คือ

  • รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนแรง
  • มีไข้ ปวดหัว
  • ตาแห้ง ตาบวม
  • มีผื่นแดงขึ้นตามใบหน้า
  • ปากเป็นแผล
  • ผมร่วง
  • นิ้วมือ นิ้วเท้าซีด
  • ผิวไวต่อแสงแดด
  • หายใจช่วงสั้น ๆ เจ็บหน้าอกเมื่อหายใจเข้าลึก ๆ
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือปวดบวมตามข้อ ขาบวม
  • รู้สึกมึนงง สูญเสียความทรงจำ

สาเหตุของโรคพุ่มพวง

โรคพุ่มพวงเป็นโรคที่เกิดความผิดปกติของการทำงานระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย ที่ควรจะมีปฏิกิริยาต่อต้านเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย แต่กลับมีปฏิกิริยาต่อต้านทำลายเนื้อเยื่อตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายตัวเองแทน

อย่างไรก็ตาม สาเหตุการเกิดโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่มีบางปัจจัยที่อาจเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ได้แก่

  • พันธุกรรม การถ่ายทอดทางพันธุกรรมอาจส่งต่อลักษณะบางอย่างที่ทำให้มีโอกาสเป็นโรคได้
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนของเพศหญิงในช่วงตั้งครรภ์ หรือช่วงวัยที่กำลังเจริญเติบโต
  • การติดเชื้อต่าง ๆ อย่างไวรัสบางชนิด
  • การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาต้านอาการชัก ยาปฏิชีวนะ และยากลุ่มควบคุมความดันโลหิต
  • การได้รับสาร เช่น สารเคมี การสูบบุหรี่ และยาสูบต่าง ๆ
  • แสงแดด สำหรับคนที่มีผิวไวต่อแดด การสัมผัสแสงแดดอาจทำให้เกิดรอยโรค เป็นเหตุให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา

การวินิจฉัยโรคพุ่มพวง

เมื่อพบอาการที่น่าสงสัยของโรคพุ่มพวง ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาอาการ โดยแพทย์อาจใช้ชุดตรวจเลือดและปัสสาวะ รวมถึงการฉายภาพเพื่อวินิจฉัยโรค 

การตรวจเลือด

แพทย์อาจสั่งให้ทำการตรวจเลือดและดูผลเลือดเพื่อประกอบการวินิจฉัยโรค ดังนี้

  • ตรวจหาความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด แพทย์จะเจาะเลือดเพื่อดูปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และฮีโมโกลบินในเลือด เช่น หากป่วยด้วยโรคนี้ มักจะมีภาวะโลหิตจาง และปริมาณเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดจะต่ำ
  • วัดอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (Erythrocyte Sedimentation Rate: ESR) หากสูง แสดงว่ามีการอักเสบ และมีโอกาสในการป่วยด้วยโรคนี้
  • ตรวจการทำงานของตับและไต หากป่วยด้วยโรคพุ่มพวง มักส่งผลกระทบต่อตับและไตด้วย
  • ตรวจหาภูมิคุ้มกัน ANA (Antinuclear antibody) หากมีผลเป็นบวก แสดงว่าอาจกำลังป่วยด้วยโรคนี้อยู่

การตรวจปัสสาวะ

อาจมีการตรวจปัสสาวเพื่อดูระดับโปรตีนที่เพิ่มขึ้นหรือเซลล์เม็ดเลือดแดงที่เพิ่มขึ้นในปัสสาวะ ซึ่งอาจมาจากการป่วยด้วยโรคพุ่มพวงจนมีผลกระทบต่อไต

การฉายภาพ

ในรายที่ต้องสงสัยว่าเป็นโรคพุ่มพวง แพทย์จะเอกซเรย์ช่วงอก หรือตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงเพื่อดูผลกระทบที่เกิดจากโรคต่อปอดและหัวใจ เช่น สังเกตปริมาณของเหลวหรือการอักเสบของปอด อัตราการเต้นของหัวใจ ความผิดปกติของลิ้นหัวใจและส่วนอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง

การรักษาโรคพุ่มพวง

แพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาตามอาการที่ป่วย โดยวิธีการหลักที่ใช้รักษาคือการรักษาด้วยยา ซึ่งยาที่อาจใช้ เช่น

  • ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal Anti-inflammatory Drugs: NSAIDs) บางชนิดสามารถหาซื้อได้ตามร้ายขายยา อย่างยานาพรอกเซน (Naproxen Sodium) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ใช้ลดอาการปวด บวม หรือมีไข้
  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) สามารถรักษาอาการอักเสบต่าง ๆ ที่เกิดจากโรคพุ่มพวงได้ ด้วยการลดปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันร่างกายลง แต่อาจส่งผลข้างเคียงได้ในระยะยาว
  • ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressants) จะออกฤทธิ์ให้ระบบภูมิคุ้มกันมีการทำงานที่ลดลง ทำให้อาการป่วยที่เกิดขึ้นบรรเทาลง มักใช้ในผู้ที่ป่วยอย่างรุนแรง เช่น ยาอะซาไธโอพรีน (Azathioprine) ยาไมโคฟีโนเลต (Mycophenolate) และยาบีลิมูแมบ (belimumab) 
  • ยาต้านมาลาเรีย (Antimalarial Drugs) สามารถนำมาใช้ควบคุมอาการโรคพุ่มพวงได้ด้วย เช่น ลดผื่นและอาการบวมตามข้อ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคพุ่มพวง

ภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดปกติจะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยจนอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะและระบบต่าง ๆ ภายใน ได้แก่

  • เลือด อาจเกิดภาวะโลหิตจาง เสี่ยงต่อการเสียเลือด การเกิดลิ่มเลือดอุดตัน และการติดเชื้อในกระแสเลือด
  • ปอด อาจเกิดเยื่อหุ้มปอดอักเสบที่สร้างความเจ็บปวดในขณะหายใจ และเสี่ยงต่อปอดอักเสบได้
  • ไต อาจเกิดความเสียหายจากการอักเสบภายใน หรืออาจเกิดภาวะไตวายที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต
  • หัวใจ อาจเกิดการอักเสบที่กล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดแดง และเยื่อหุ้มหัวใจ เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
  • สมองและระบบประสาทส่วนกลาง อาจเกิดอาการที่มีความรุนแรงน้อยไปจนรุนแรงมาก ตั้งแต่ปวดหัว เวียนหัว มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป มีปัญหาด้านความจำ ประสาทหลอน เป็นโรคหลอดเลือดสมอง ตลอดจนเกิดภาวะชัก

นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคพุ่มพวงยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อในอวัยวะและระบบต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ทั้งจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันเอง และจากการรักษาโรคที่ต้องรับประทานยาลดการทำงานของภูมิคุ้มกันลง เสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกตายจากการขาดเลือด รวมถึงเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ภาวะครรภ์เป็นพิษ และการแท้งลูกในผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์

การป้องกันโรคพุ่มพวง

แม้ยังไม่มีวิธีการป้องกันโรคพุ่มพวงได้ แต่คนทั่วไปสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคได้ อย่างการดูแลสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ตากแดดที่ร้อนจ้าหรือเป็นเวลานาน และหลีกเลี่ยงสารเคมีเป็นพิษในชีวิตประจำวัน

ส่วนผู้ที่ป่วยด้วยโรคพุ่มพวง สามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับการป่วยอย่างเข้าใจ และลดการกำเริบของโรคได้โดย

  • รับประทานยาตามกำหนด ไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการกำเริบควรรีบไปพบแพทย์ทันที
  • ควบคุมอาหาร รับประทานแต่สิ่งที่มีประโยชน์และไม่ทำให้เกิดอาการแพ้
  • พักผ่อนอย่างเพียงพอ
  • ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงหรือลดการสัมผัสกับแสงแดด และสารเคมี
  • ออกกำลังกายอย่างพอดี หลีกเลี่ยงการใช้แรงหรือออกกำลังกายในขณะที่มีอาการกำเริบ
  • รักษาสุขภาพจิต เรียนรู้วิธีการจัดการกับความเครียด