โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

ความหมาย โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) คือภาวะที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ ทำให้สมองขาดเลือดและออกซิเจน ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ควรได้รับการรักษาทันที เพราะหากปล่อยไว้จะทำให้เซลล์สมองค่อย ๆ ตายลง และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย เช่น อัมพาต และเสียชีวิตได้

โรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือโรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือด (Ischemic Stroke) และโรคหลอดเลือดสมองชนิดเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic Stroke) ซึ่งสามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนทั่วโลก 

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมอง

โรคดังกล่าวเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยจะแตกต่างกันไปตามชนิดของโรคหลอดเลือดสมอง 2 ประเภท ดังนี้

1. โรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือด (Ischemic Stroke)

โรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือดเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด มีสาเหตุมาจากไขมันที่เกาะตามผนังหลอดเลือดจนทำให้เกิดเส้นเลือดตีบแข็ง โรคหลอดเลือดสมองชนิดนี้ยังแบ่งออกได้อีก 2 ชนิดย่อย ได้แก่

โรคหลอดเลือดขาดเลือดจากภาวะหลอดเลือดสมองตีบ (Thrombotic Stroke)
โรคหลอดเลือดสมองประเภทนี้มีสาเหตุจากการอุดตันของหลอดเลือดแดงในสมอง ทำให้เลือดและออกซิเจนไม่สามารถไหลเวียนไปที่สมอง

มักพบในผู้สูงอายุที่มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) ซึ่งเกิดจากคราบพลัคไปเกาะสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดสมองจนตีบตัน และขัดขวางการไหลเวียนของเลือด และภาวะอื่น ๆ เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน

โรคหลอดเลือดขาดเลือดจากการอุดตัน (Embolic Stroke)
โรคหลอดเลือดสมองประเภทนี้เกิดจากลิ่มเลือดที่ก่อตัวในเส้นเลือดบริเวณอื่นของร่างกาย แล้วไปอุดตันที่หลอดเลือดสมอง จนทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปที่สมองได้อย่างเพียงพอ มักเป็นผลจากการผ่าตัดหัวใจ หรือพบในผู้มีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) 

2. โรคหลอดเลือดสมองชนิดเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic Stroke)

โรคหลอดเลือดสมองชนิดเลือดออกในสมอง หรือที่รู้จักอีกชื่อหนึ่งว่าภาวะเส้นเลือดในสมองแตก หรือฉีกขาด ทำให้เลือดรั่วไหลเข้าไปในเนื้อเยื่อสมอง แม้จะเกิดขึ้นได้น้อยกว่าชนิดแรก แต่มีความรุนแรงเช่นกัน โดยแบ่งได้อีก 2 ชนิดย่อยคือ

เลือดคั่งในสมอง (Intracerebral Hemorrhage)
การมีเลือดออกในเนื้อสมอง หรือเลือดคั่งในสมอง เกิดจากหลอดเลือดฝอยในสมองแตกออก มักเกิดจากความดันโลหิตสูง ภาวะนี้มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่มีอาการนำมาก่อน บางครั้งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง (Subarachnoid Hemorrhage)
การมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลางมักเกิดจากเส้นเลือดในสมองโป่งพอง (Aneurysm) การได้รับบาดเจ็บที่กระทบกระเทือนสมอง และโรคหลอดเลือดสมองเอวีเอ็ม 

ทั้งนี้ ความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองทั้ง 2 ประเภทจะเพิ่มสูงขึ้นหากมีปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น

  • ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี จะเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าคนในวัยอื่น ๆ
  • ผู้ที่มีญาติพี่น้องใกล้ชิดป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองจะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น
  • ผู้ที่เคยมีอาการของภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ และหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน จะมีความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยเคยมีภาวะหลอดเลือดอุดตันมาก่อนแล้ว

อาการของโรคหลอดเลือดสมอง

อาการที่เกิดขึ้นจะอยู่กับความเสียหายของสมอง โดยอาการของโรคหลอดเลือดสมองทั้ง 2 ชนิดจะค่อนข้างคล้ายกัน แต่ชนิดเลือดออกในสมองจะมีอาการปวดศีรษะและอาเจียนร่วมด้วย ทั้งนี้ ผู้ป่วยแต่ละคนอาจมีหลายอาการร่วมกัน เช่น

  • ร่างกายชา อ่อนแรง หรือมีอาการอัมพาตที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น มือชา ปากและใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งเบี้ยว ยกแขนและขาข้างใดข้างหนึ่งไม่ได้
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการพูด หรือการเข้าใจคำพูดผิดเพี้ยน
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว และมีอาการบ้านหมุน
  • ตาพร่า เห็นภาพซ้อน สูญเสียการมองเห็นบางส่วน หรือมองไม่เห็นทั้ง 2 ข้าง
  • มึนงง สับสน สูญเสียความทรงจำ
  • ปวดศีรษะเฉียบพลันและรุนแรง
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • คอแข็ง
  • อารมณ์และบุคลิกเปลี่ยนไป
  • ชัก
  • หมดลติ มีภาวะโคม่า

ทั้งนี้ ก่อนที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองขึ้นผู้ป่วยอาจพบอาการที่เรียกว่า ภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ (Transient Ischemic Attack: TIA) ซึ่งเป็นภาวะที่สมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงชั่วระยะหนึ่ง จากภาวะลิ่มเลือดอุดตัน แต่จะเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่ลิ่มเลือดจะสลายตัวไป

หากพบว่าตัวเองมีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งยังควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็ง และโรคความดันโลหิตสูงด้วย 

อาการของโรคหลอดเลือดสมองที่ควรไปพบแพทย์

สัญญาณของโรคหลอดเลือดสมองที่ควรไปพบแพทย์ หรือที่เรียกว่าหลัก FAST มีดังนี้

  • F ย่อมาจาก Face หมายถึงการที่ใบหน้าหรือปากเบี้ยว ยิ้มแล้วมุมปากข้างใดข้างหนึ่งตก
  • A ย่อมาจาก Arm หมายถึงภาวะกล้ามเนื้อแขนข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง ยกไม่ขึ้น หรือแขนตก ไม่สามารถยกค้างไว้ได้
  • S ย่อมาจาก Speech หมายถึงความผิดปกติในการพูด เช่น พูดไม่ชัด พูดผิด หรือลักษณะการพูดแปลกไปจากปกติ
  • T ย่อมาจาก Time ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาฉุกเฉินทันทีเมื่อมีอาการของโรคปรากฏขึ้น ไม่ควรรอให้อาการหายไปเอง และรีบพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด 

การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมองมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน และต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด แต่ก่อนที่แพทย์จะตัดสินใจเลือกวิธีการรักษา ผู้ป่วยจะต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด วิธีที่แพทย์ใช้ในการตรวจเพื่อยืนยันโรคหลอดเลือดสมอง มีดังนี้

การซักประวัติและตรวจร่างกาย
แพทย์จะซักประวัติการรักษา อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ และประวัติครอบครัวว่ามีญาติใกล้ชิดป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่ จากนั้นแพทย์จะสอบถามอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย วัดความดันโลหิต ฟังเสียงหัวใจและการทำงานของหลอดเลือด

การตรวจเลือด
แพทย์อาจสั่งให้มีการเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อนำไปทดสอบดูการก่อตัวของลิ่มเลือด ซึ่งหากระดับน้ำตาลในเลือดและสารเคมีต่าง ๆ ในเลือดเสียสมดุล การแข็งตัวของเลือดก็จะผิดปกติ

การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
ซีที สแกนจะช่วยให้แพทย์เห็นภาพโดยรวมของสมอง และหากมีภาวะเลือดออกในสมอง ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งก่อนเอกซเรย์ แพทย์อาจฉีดสารย้อมสีเข้าไปในระบบไหลเวียนเลือด เพื่อให้เห็นรายละเอียดของการไหลเวียนเลือดและสมองได้ดียิ่งขึ้น

การเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging: MRI)
การทำเอ็มอาร์ไอมีจุดประสงค์คล้ายการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ แต่จะช่วยให้แพทย์เห็นรายละเอียดของสมองได้อย่างชัดเจนมากกว่า ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้น

การตรวจอัลตราซาวด์หลอดเลือดแดงที่คอ (Carotid Ultrasound)
วิธีนี้ป็นการตรวจที่ช่วยให้แพทย์เห็นการก่อตัวของคราบพลัคจากไขมัน อันเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันและเกิดโรคหลอดเลือดสมอง

การฉีดสีที่หลอดเลือดสมอง (Cerebral Angiogram)
แพทย์จะสอดท่อไปยังหลอดเลือดสมองผ่านทางแผลเล็ก ๆ ที่ขาหนีบ จากนั้นจะฉีดสารย้อมสีเข้าไป และเอกซเรย์ วิธีนี้จะช่วยให้แพทย์เห็นระบบการไหลเวียนของเลือดไปยังคอและสมองได้มากขึ้น

การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram)
วิธีนี้มักใช้ตรวจการทำงานของหัวใจ แต่ในหลายกรณีก็ช่วยระบุการการทำงานของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองได้ด้วยเช่นกัน หากพบว่ามีการอุดตันของหลอดเลือด หรือพบลิ่มเลือดก็สามารถวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองได้

การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมองรักษาหายได้ โดยวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ๆ แต่หลังจากรักษาหายแล้ว ผู้ป่วยจะกลับมาเป็นปกติได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเสียหายของสมอง และการทำกายภาพบำบัด ซึ่งความรวดเร็วในการรักษาถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะยิ่งปล่อยไว้จะทำให้สมองเกิดความเสียหายมากขึ้น โดยการรักษาโรคหลอดเลือดสมองจะแตกต่างกันไปตามชนิดของโรคดังนี้

1. โรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือด (Ischemic Stroke)

การรักษาจะเน้นไปที่การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ และป้องกันอาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง ยาบางชนิดจะต้องรีบใช้ทันทีเมื่อเกิดอาการ และใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ จนกว่าอาการจะเริ่มดีขึ้น แต่ยาบางชนิดอาจต้องใช้ต่อเนื่องในระยะยาว ยาที่แพทย์มักใช้ในการรักษาได้แก่

ยาละลายลิ่มเลือด
ยาละลายลิ่มเลือดจะช่วยกำจัดลิ่มเลือดที่อุดตันอยู่ ซึ่งจะทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกมากขึ้น หากผู้ป่วยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลภายใน 4.5 ชั่วโมง และไม่มีความเสี่ยงเลือดออกในสมอง แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาละลายลิ่มเลือดชนิดฉีด (Tissue Plasminogen Activator: TPA)  ยาชนิดนี้หากยิ่งได้รับเร็วประสิทธิภาพในการรักษาก็จะยิ่งดีขึ้น

ทั้งนี้ ยาดังกล่าวยังมีผลข้างเคียงที่อันตราย หากให้ยาช้ากว่า 4.5 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ อาจทำให้เลือดออกในสมองได้

ยาต้านเกล็ดเลือด
ยาต้านเกล็ดเลือดเป็นยาที่ช่วยป้องกันการก่อตัวของเกล็ดเลือด ทำให้การอุดตันลดลง ยาในกลุ่มนี้ที่นิยมใช้ ได้แก่ ยาแอสไพริน

ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะผู้ที่มีอัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ มีอาการใจสั่น และผู้ที่มีลิ่มเลือดที่ขา หรือผู้ที่เคยมีประวัติการเกิดลิ่มเลือด อาจต้องใช้ยาชนิดนี้ร่วมกับยาชนิดอื่น ๆ เพื่อป้องกันการก่อตัวของลิ่มเลือดในอนาคต ยาที่นิยมใช้ได้แก่ ยาวาฟาริน ยาอะพิซาแบน ยาดาบิกาทราน ยาเอโดซาแบน และยาริวาโรซาแบน 

ยาลดความดันโลหิต และยาลดไขมันในเลือด
ผู้ป่วยบางรายต้องใช้ยาลดความดันโลหิตร่วมด้วยเพื่อป้องภาวะเลือดออกในสมองในระยะยาว หากระดับไขมันในเลือดสูง ผู้ป่วยจะต้องใช้ยาลดไขมันในเลือด เพื่อป้องกันไขมันสะสมกลายเป็นคราบพลัคเกาะที่ผนังหลอดเลือด จนกลายเป็นสาเหตุให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด

นอกจากการใช้ยาเพื่อรักษาภาวะสมองขาดเลือดแล้ว ก็ยังมีวิธีการรักษาอื่น ๆ ได้แก่

  • การผ่าตัดเปิดหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ (Carotid endarterectomy) ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะหลอดเลือดตีบอย่างรุนแรง อาจต้องใช้การผ่าตัดเพื่อเปิดหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอเพื่อกำจัดสิ่งที่ขัดขวางหลอดเลือดออก
  • การผ่าตัดเพื่อกำจัดลิ่มเลือด (Thrombectomy) ในกรณีที่มีลิ่มเลือดขัดขวางการไหลเวียนของหลอดเลือดอย่างรุนแรง การผ่าตัดเพื่อกำจัดลิ่มเลือดจะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้อย่างเต็มที่

2. โรคหลอดเลือดสมองชนิดเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic Stroke)

ผู้ป่วยที่มีภาวะสมองขาดเลือดชนิดเลือดออกในสมองมักต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อกำจัดลิ่มเลือดออกจากสมอง และซ่อมแซมหลอดเลือดในสมองที่แตก หรือฉีกขาด โดยการรักษาหลัก ๆ ที่ใช้ในโรคหลอดเลือดสมองชนิดนี้ ได้แก่

การผ่าตัดหยุดเลือด (Surgical Clipping)
แพทย์จะนำคลิปขนาดเล็ก ๆ หนีบที่บริเวณฐานของหลอดเลือดที่โป่งพองและมีเลือดออก วิธีนี้จะช่วยหยุดการไหลของเลือดและทำให้บริเวณหลอดเลือดที่โป่งพองไม่มีเลือดไหลออกมาอีก

การใส่ขดลวด (Endovascular Embolization)
การใส่ขดลวดเป็นวิธีการรักษาด้วยการสวนท่อขนาดเล็กเข้าไปที่หลอดเลือดสมองผ่านทางขาหนีบ จากนั้น แพทย์จะใส่ขดลวดเข้าไปยังหลอดเลือดที่โป่งพอง โดยขดเลือดนี้จะเข้าไปขัดขวางการไหลเวียนเลือดที่เข้าไปในหลอดเลือดที่โป่งพอและป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือด

การผ่าตัดกำจัดเส้นเลือดที่มีปัญหา (Surgical AVM Removal)
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีหลอดเลือดสมองที่ผิดปกติ แพทย์จะผ่าตัดเพื่อนำส่วนที่ผิดปกติออก โดยจะคำนึงถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น หากการนำหลอดเลือดที่ผิดปกติออกนั้นจะส่งผลต่อการทำงานของสมอง แพทย์อาจใช้วิธีอื่นรักษาแทน

การผ่าตัดด้วยรังสี (Stereotactic Radiosurgery)
การผ่าตัดนี้จะใช้รังสีที่มีความเข้มข้นสูง เพื่อซ่อมแซมหลอดเลือดที่มีความผิดปกติ

การผ่าตัดระบายของเหลวในสมอง
หากเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (Hydrocephalus) ผู้ป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อระบายของเหลวออกจากสมอง ซึ่งแพทย์อาจต้องต่อท่อพลาสติกเล็ก ๆ เพื่อระบายของเหลวออกจากสมองด้วย

การรักษาด้วยวิธีอื่น
ในระหว่างการรักษาข้างต้น ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการรักษาอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อช่วยบรรเทาอาการ และช่วยให้การรักษาหลักเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ

  • การให้อาหารทางสายยาง ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจและไม่สามารถรับประทานอาหารได้เอง การสอดสายยางเข้าไปที่ช่องท้องผ่านทางจมูกจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับอาหารเหลวได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • การให้สารอาหารเสริม ผู้ป่วยที่ได้รับอาหารทางสายยาง อาจเกิดภาวะขาดสารอาหาร จึงต้องได้รับสารอาหารเสริม เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน
  • การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงภาวะขาดน้ำ แพทย์จะสั่งให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเพิ่มเพื่อลดความเสี่ยง
  • การให้ออกซิเจน ในกรณีที่ออกซิเจนในเลือดลดลง แพทย์จะให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนผ่านทางหน้ากาก เพื่อป้องกันภาวะสมองขาดออกซิเจนซึ่งจะยิ่งทำให้อาการรุนแรง
  • ผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้ถุงน่องป้องกันเส้นเลือดขอด (Compression Stockings) ร่วมด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดที่บริเวณขา ซึ่งจะไปอุดตันหลอดเลือดที่เชื่อมต่อกับหัวใจและสมอง จนทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น

หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว อาการของผู้ป่วยจะเริ่มดีขึ้นตามลำดับ และอาจกลับมาเป็นปกติได้ภายใน 6 เดือน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเสียหายของสมอง และในระหว่างการพักฟื้นผู้ป่วยจะต้องได้รับการกายภาพบำบัด เพื่อฟื้นฟูความสามารถในการสื่อสาร และการเคลื่อนไหวเพื่อให้กลับมาใกล้เคียงปกติมากที่สุด

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหลอดเลือดสมอง

ในบางกรณีโรคหลอดเลือดสมองก็อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความพิการชั่วคราว หรือถาวร ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของสมองที่เกิดจากการขาดเลือด ภาวะแทรกซ้อนที่มักพบได้แก่

  • อาการอัมพาตที่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย หรือเกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า และแขน การรักษาด้วยการกายภาพบำบัดจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติได้
  • พูดไม่ชัด หรือมีปัญหาในการกลืนอาหาร เนื่องจากผู้ป่วยอาจสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อภายในปากและลำคอ เป็นผลให้เกิดอาการลิ้นแข็ง และกลืนลำบากwww.pobpad.com/dysphagia-ภาวะกลืนลำบาก รวมทั้งสูญเสียความสามารถในการพูดและการเข้าใจคำพูด การบำบัดด้วยการอ่านหรือเขียนหนังสือจะช่วยให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นในระดับหนึ่ง
  • สูญเสียความทรงจำ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ และความสามารถในการเรียนรู้และเข้าใจได้
  • ปัญหาทางด้านอารมณ์ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ผู้ป่วยอาจมีอารมณ์รุนแรง หรือเกิดภาวะซึมเศร้าได้ในที่สุด
  • อาการชา หรือสูญเสียความรู้สึกที่บริเวณอวัยวะซึ่งได้รับผลกระทบของโรคหลอดเลือดสมองได้
  • ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ โดยอาจรู้สึกร้อนหรือหนาวอย่างเฉียบพลัน
  • มีปัญหาในเรื่องพฤติกรรมการใช้ชีวิต แยกตัวออกจากผู้อื่น และความสามารถในการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวันลดลง จึงอาจต้องจัดหาผู้ช่วยเพื่อคอยดูแลผู้ป่วยตลอดเวลา

ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อาจสามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการผ่าตัดสมองและการผ่าตัดประสบความสำเร็จ แต่จะกลับมาได้สมบูรณ์หรือไม่นั้น อาจขึ้นอยู่กับความเสียหายของสมองและการฟื้นฟูของผู้ป่วยแต่ละคนด้วยเช่นกัน

การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย ดังนี้

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองได้ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เพราะจะส่งผลให้เกิดภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง รวมถึงอาหารที่มีรสเค็มจัด ที่เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายสามารถช่วยควบคุมน้ำหนัก และช่วยลดระดับคอเลสเตอลรอล รวมถึงความดันโลหิตสูงได้ โดยระยะเวลาในการออกกำลังกายที่เหมาะสมคือ 150 นาทีต่อสัปดาห์

งดสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยหลักที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง การเลิกสูบบุหรี่จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ แต่หากไม่สามารถเลิกได้ด้วยตนเองควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาวิธีเลิกบุหรี่อย่างมีประสิทธิภาพ

ควบคุมปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้ แต่ถ้าหากไม่ดื่มเลยจะดีที่สุด หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็สามารถดื่มได้ แต่ไม่ควรดื่มเกินปริมาณที่แนะนำ คือ ผู้ชายไม่ควรเกินวันละ 2 แก้ว และผู้หญิงไม่ควรเกินวันละ 1 แก้ว

ดูแลสุขภาพสำหรับผู้มีโรคประจำตัว
การควบคุมน้ำหนัก ความดันโลหิต คอเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือดจะช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ดังนี้

  • ควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากโรคอ้วนเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงต่าง ๆ รวมทั้งโรคหลอดเลือดสมอง
  • ควรตรวจวัดระดับไขมันในเลือดอย่างน้อยทุก 6–12 เดือน หากเป็นผู้ที่มีความเสี่ยง หรือมีภาวะคอเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว ควรไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามอาการ
  • ตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตอันเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการใช้ชีวิต นอกจากนี้ ควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ 
  • ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้ว ควรเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานยา และการผ่าตัด เพราะการรักษาที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองได้

สังเกตอาการผิดปกติ และตรวจสุขภาพ
การตรวจสุขภาพประจำปี และปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ จะช่วยป้องกันโรคที่อาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองได้