ความหมาย ไอเป็นเลือด
ไอเป็นเลือด (Haemoptysis) คืออาการที่เกิดขึ้นเมื่อทางเดินหายใจหรือปอดผิดปกติ ซึ่งมีหลายสาเหตุด้วยกัน ทำให้เลือดอาจออกมาจากช่องคอ ช่องท้อง หรือปอด ลักษณะและปริมาณของเลือดที่ออกมานั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรง โดยอาจมีสีแดงสด ชมพู หรือมีลักษณะเป็นฟองและมีเสมหะผสม หลายคนตกใจเมื่อไอเป็นเลือด อาการนี้เกิดขึ้นได้แม้จะมีสุขภาพแข็งแรงดี แต่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเสมอไปหากมีเลือดเล็กน้อย แต่ถ้าเลือดออกมากควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่ร้ายแรงได้
อาการไอเป็นเลือด
ผู้ป่วยที่มีอาการไอเรื้อรัง หรือมีภาวะปอดติดเชื้อ จะมีเลือดออกในปอดทำให้เวลาไอมีเลือดปนออกมากับน้ำลาย มักมีสีแดงสดปริมาณเล็กน้อย บางครั้งอาจไอออกมาเป็นฟอง มีเลือดเป็นลิ่ม ๆ และมีเสมหะผสม แต่หากเลือดออกมามีสีคล้ำและมีเศษอาหารผสม คล้ายกากกาแฟ อาจเป็นเลือดที่มาจากทางเดินอาหารที่กำลังมีปัญหา ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ทันที หรือหากมีอาการไอเป็นเลือดปริมาณมากและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ซึ่งถือว่าเป็นภาวะร้ายแรง ควรโทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉินนำตัวส่งให้ถึงมือแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการรักษาต่อไป อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก
สาเหตุของการไอเป็นเลือด
อาการไอเป็นเลือดส่วนใหญ่มีสาเหตุจากโรคหลอดลมพองและโรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดอาการไอเป็นเลือดได้ ดังนี้
- อาการระคายเคืองจากการไอที่มากเกิน การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญส่วนใหญ่ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ เกิดอาการระคายเคืองและไอเป็นเลือดได้
- การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ สาเหตุของไอเป็นเลือดที่พบมากที่สุดคือ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หรือหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลัน (Acute Bronchitis) และการติดเชื้อในปอด หรือปอดบวม (Pneumonia) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงร่วมด้วย อาการไอเป็นเลือดจะดีขึ้นและหายเป็นปกติเมื่อการติดเชื้อได้รับการรักษา
- หลอดลมพอง คือ ภาวะที่หลอดลมขยายตัวอย่างผิดปกติ และมีการผลิตเมือกมากในทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจะไอเป็นเสมหะค่อนข้างมาก หากทางเดินหายใจอักเสบจะไอเป็นเลือดร่วมด้วย
- วัณโรค เป็นสาเหตุที่พบได้ในไทย ผู้ป่วยจะมีอาการไอเรื้อรังนานมากกว่า 3 สัปดาห์ มีเสมหะเป็นเลือด ไข้สูง นอกจากนี้ ยังมีอาการเหนื่อยง่าย น้ำหนักลด และมีภาวะเบื่ออาหารร่วมด้วย
- โรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด คือ ภาวะที่มีการอุดกั้นของหลอดเลือดแดงในปอด ผู้ป่วยมักหายใจลำบากอย่างกะทันหัน เจ็บหน้าอก และในบางรายอาจไอเป็นเลือดร่วมด้วย
- ปัญหาหัวใจและหลอดเลือด ภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรงเป็นสาเหตุทำให้มีน้ำในช่องปอด ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก อาจมีเสมหะเป็นฟองปนเลือด นอกจากนี้ ปัญหาหลอดเลือดต่าง ๆ อาจทำให้เลือดออกในทางเดินหายใจและปอดได้เช่นกัน แต่ภาวะนี้พบได้น้อยมาก
- มะเร็งปอด อาการไอเป็นเลือดหรือเสมหะเป็นเลือด เป็นอาการหนึ่งของมะเร็งปอด ส่วนใหญ่จะพบในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 50 ปี โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่
- การรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin Dabitagran และ Rivaroxaban ทำให้เกิดภาวะเลือดออก และไอเป็นเลือดได้
- การอักเสบและความผิดปกติของเนื้อเยื่อ เป็นภาวะที่เกิดกับทางเดินหายใจหรือปอด ทำให้เลือดออกและเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยไอเป็นเลือด สาเหตุของภาวะนี้ เช่น โรคระบบทางเดินหายใจที่มีภาวะเลือดออกในถุงลมและหลอดเลือดฝอยในปอด (Pulmonary Haemosiderosis) และอาการไอเป็นเลือดช่วงมีประจำเดือนเนื่องจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในปอด (Pulmonary Endometriosis) อย่างไรก็ตามสาเหตุนี้พบได้ไม่บ่อย
- การสูดสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูกและการบาดเจ็บของปอด การสูดสิ่งแปลกปลอมเข้าไป เช่น ของเล่นชิ้นเล็ก ๆ หรือถั่วลิสงในเด็กเล็ก สามารถทำให้ทางเดินหายใจและปอดเสียหายได้ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ไอเป็นเลือด
- ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ บางครั้งแพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยสาเหตุของอาการไอเป็นเลือดได้ (Idiopathic Haemoptysis) ซึ่งอาจเกิดจากหลอดเลือดเล็ก ๆ ในทางเดินหายใจแตกและทำให้เลือดออก โดยแพทย์จะวินิจฉัยได้ก็ต่อเมื่อตรวจไม่พบสาเหตุอื่น ๆ บางครั้งอาการไอเป็นเลือดเกิดขึ้นได้โดยไม่มีสาเหตุ และจะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก
การวินิจฉัยอาการไอเป็นเลือด
แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการซักถามประวัติ สีและลักษณะของเลือด รวมถึงอาการอื่น ๆ เพื่อหาว่าเลือดออกมาทางใด ปกติเลือดจะออกจากทางเดินหายใจหรือปอด แต่บางกรณีก็ยากที่จะวินิจฉัยโดยเฉพาะในภาวะต่อไปนี้
- ภาวะที่มีเลือดออกจากทางปากหรือจมูก และไหลกลับเข้าไปในช่องคอ ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการไอ
- ภาวะที่ผู้ป่วยอาเจียนเป็นเลือด ซึ่งอาจมีอาการไอร่วมด้วย
นอกจากการวินิจฉัยข้างต้นแล้ว แพทย์อาจตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของอาการไอเป็นเลือด ดังนี้
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง เพื่อหาความผิดปกติของเลือด และเกร็ดเลือด
- เอกซเรย์ทรวงอก เพื่อดูหลอดเลือดแดง หัวใจ ปอดและกะบังลม
- เก็บเสมหะส่งเพาะเชื้อ เพื่อหาแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการติดเชื้อ
- วินิจฉัยหลอดเลือดทางรังสีวิทยา เพื่อประเมินการกระจายของหลอดเลือดในปอด
- ส่องกล้องหลอดลม (Bronchoscopy) เพื่อหาช่องทางที่เลือดออกมา
- ตัดชิ้นเนื้อปอดส่งตรวจ เพื่อตรวจดูเนื้อเยื่อ
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อดูภาพตัดของทรวงอก
วิธีรักษาอาการไอเป็นเลือด
วิธีรักษาอาการไอเป็นเลือดนั้นแตกต่างกันออกไปตามสาเหตุที่เกิด หากอาการไม่รุนแรงมากแพทย์จะจ่ายยาแก้ไอเพื่อบรรเทาอาการในเบื้องต้น แต่ในบางรายที่มีอาการรุนแรงมาก แพทย์จะพิจารณาการรักษาให้เหมาะสมกับอาการรายบุคคล ดังนี้
ผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือดไม่รุนแรงมาก
แพทย์จะตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการไอเป็นเลือด กรณีที่ปอดไม่มีความผิดปกติ แพทย์จะรักษาด้วยยาเฉพาะที่ซึ่งตอบสนองต่อสาเหตุอย่างเหมาะสม
ผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือดปานกลาง
หากผู้ป่วยมีอาการไอเป็นเลือด และมีเลือดออกปริมาณ 30-50 มิลลิลิตร ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์และรับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้
อาการไอเป็นเลือดรุนแรง
อาการไอเป็นเลือดขั้นรุนแรงเป็นภาวะฉุกเฉิน และผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิต แพทย์จะรักษาและควบคุมอาการด้วยเทคนิคทางการแพทย์ และการผ่าตัดดังนี้
- การช่วยให้ฟื้นคืนสติ กรณีที่ผู้ป่วยหมดสติจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน แพทย์จะช่วยผู้ป่วยให้ฟื้นคืนสติด้วยการใส่ท่อช่วยหายใจเข้าทางด้านซ้ายหรือขวาของหลอดลมใหญ่ เพื่อรักษาค่าออกซิเจนในเลือดให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วย นอกจากนี้ แพทย์อาจพิจารณาให้เลือดทางหลอดเลือดดำ และสังเกตการแข็งตัวของเลือดร่วมด้วย
- การรักษาจำเพาะเพื่อควบคุมการไหลของเลือด
- ตรวจเอกซเรย์หลอดเลือดและสอดสายสวน เพื่ออุดหลอดเลือดไม่ให้เลือดออก ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการไอเป็นเลือดกำเริบขั้นรุนแรง
- ส่องกล้องตรวจหลอดลม แพทย์จะส่องกล้องดูความผิดปกติของหลอดลม เพื่อวินิจฉัยโรคและรักษา ดังนี้
- ใช้น้ำเกลือเย็นจัดในหลอดลมเพื่อชะลอการไหลของเลือด
- การใช้สารรักษาเฉพาะที่ เช่น ให้สารทรอมบิน (Thrombin) หรือ กาวไฟบรินหยุดเลือดเพื่อทำให้เลือดแข็งตัว
- การทำบอลลูนเพื่อให้เลือดหยุด
- การรักษาให้เลือดหยุดด้วยเลเซอร์ (Laser Photocoagulation)
- การผ่าตัดปอด แพทย์จะพิจารณาวิธีผ่าตัดบริเวณปอดที่มีเลือดออก ให้เหมาะสมแก่ผู้ป่วยแต่ละราย ดังนี้
- ผ่าตัดด้วยการตัดบางส่วนของเนื้อปอดออก (Segmentectomy)
- ผ่าตัดด้วยการเอาปอดออกทั้งกลีบ (Lobectomy)
- ผ่าตัดด้วยการตัดปอดออกทั้งข้าง (Pneumonectomy)
การรักษาผู้ป่วยด้วยการผ่าตัดนั้น มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และอัตราการเสียชีวิตสูง แพทย์จะเลือกใช้วิธีการผ่าตัดในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น เช่น ผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บของทรวงอก และหลอดเลือดในปอดฉีกขาด
- การทำรังสีบำบัด เพื่อรักษาเนื้องอกของหลอดเลือด และปอดที่ติดเชื้อราแอสเพอร์จิลลัส
- การใช้ยายับยั้งการสลายลิ่มเลือด ถึงแม้จะมีหลักฐานยืนยันว่าการใช้ยายับยั้งการสลายลิ่มเลือดช่วยรักษาอาการไอเป็นเลือดได้น้อยมาก แต่การใช้ยาสลายลิ่มเลือดอาจช่วยลดระยะเวลาที่เลือดออกได้
ภาวะแทรกซ้อนของอาการไอเป็นเลือด
อาการไอเป็นเลือดส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ภาวะที่รุนแรง โดยจะมีอาการดีขึ้นและหายได้เอง อย่างไรก็ตาม อาการไอเป็นเลือดอาจมีสาเหตุจากภาวะความผิดปกติอื่น ๆ หรือโรคประจำตัวที่ร้ายแรง หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้อาการแย่ลง และเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการไอเป็นเลือดรุนแรง นอกจากนี้ อาจเป็นสัญญาณอันตรายของโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งได้
การป้องกันอาการไอเป็นเลือด
ไอเป็นเลือดส่วนใหญ่ไม่ใช่อาการที่ร้ายแรง แต่ควรป้องกันตัวเองด้วยการดูสุขภาพร่างกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อสร้างระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรง ไม่สูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ซึ่งทำลายสุขภาพปอดและทางเดินหายใจ ระวังการสูดเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าปากหรือจมูกในเด็กเล็ก ซึ่งจะส่งผลให้ทางเดินหายใจและปอดเสียหายได้ อย่างไรก็ตาม บางปัจจัยที่เป็นสาเหตุของอาการไอเป็นเลือดสามารถป้องกันได้ยาก เช่น โรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด เป็นต้น