Riluzole (ริลูโซล)
Riluzole (ริลูโซล) เป็นยาที่ใช้ในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส (Amyotrophic Lateral Sclerosis: ALS) ออกฤทธิ์ช่วยลดระดับสารกลูตาเมตในร่างกายและลดกรดอะมิโนที่ส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทที่ส่งข้อมูลจากสมองไปสู่กล้ามเนื้อ อาจช่วยชะลอการดำเนินโรคและยืดอายุขัยของผู้ป่วย แต่ไม่สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ นอกจากนี้ อาจนำมาใช้บรรเทาอาการอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย
เกี่ยวกับยา Riluzole
กลุ่มยา | ยาบรรเทาอาการของโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาท และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | ช่วยชะลออาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส และลดระดับสารกลูตาเมตในร่างกาย |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ |
Category C จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลอง ในมนุษย์และสัตว์ ควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่า มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ |
คำเตือนในการใช้ยา Riluzole
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาหากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ รวมถึงยาและสารอื่น ๆ เพราะยาอาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการแพ้ยาหรือเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาหากกำลังป่วยหรือมีประวัติเป็นโรคไตหรือโรคตับ โดยเฉพาะสตรีและผู้สูงอายุ รวมทั้งผู้ที่ใช้ยาที่เป็นอันตรายต่อตับ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อรา ยาต้านไวรัส รวมถึงยาต้านไวรัสเอชไอวี ยาคุมกำเนิด ฮอร์โมนทดแทน ยารักษาโรคข้ออักเสบ ยากันชักอย่างยาคาร์บามาซีปีนและยาเฟไนโทอิน และยาลดคอเลสเตอรอลในกลุ่มสแตติน เป็นต้น
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยใช้ เพราะยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยานี้ได้ อย่างยาอัลโลพูรินอล ยาเมทิลโดปา และยาซัลฟาซาลาซิน ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับตับ รวมถึงยาที่ส่งผลต่อเอนไซม์ตับ ซึ่งอาจจะเร่งการขับยา Riluzole ออกจากร่างกาย เช่น ยาอะมิทริปไทลีน ยาโอเมพราโซล ยาไรแฟมปิน และยาปฏิชีวนะกลุ่มควิโนโลนอย่างยาไซโปรฟลอกซาซิน เป็นต้น
- ห้ามเริ่มใช้ยา หยุดใช้ยา หรือเปลี่ยนแปลงปริมาณยาด้วยตนเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- ควรระมัดระวังขณะขับขี่ยานพาหนะหรือทำกิจกรรมที่ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะยานี้อาจทำให้ผู้ป่วยเวียนศีรษะหรือง่วงนอนได้
- ผู้ป่วยอาจต้องตรวจเลือดบ่อยครั้งในระหว่างที่ใช้ยา เพื่อตรวจดูการทำงานของตับ
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจเสี่ยงทำให้ตับถูกทำลายเพิ่มขึ้นขณะใช้ยานี้
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาลดลงได้
- หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ ชา น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เพราะอาจทำให้ยาสะสมอยู่ในร่างกายมากจนเกินไป
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนจะมีบุตร ควรปรึกษาแพทย์ถึงผลดีผลเสียและความเสี่ยงต่อทารกก่อนใช้ยานี้
- ควรหลีกเลี่ยงการให้นมบุตรขณะใช้ยานี้ เพราะยาอาจซึมผ่านน้ำนมมารดาและเป็นอันตรายต่อทารกได้
- ห้ามใช้ยานี้ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี หากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
ปริมาณการใช้ยา Riluzole
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา ซึ่งโดยทั่วไปการใช้ยาในผู้ใหญ่เพื่อช่วยชะลออาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอสจะเป็นการรับประทานยาในปริมาณ 50 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วัน
การใช้ยา Riluzole
- ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
- รับประทานยาทุก ๆ 12 ชั่วโมง ในเวลาเดิมของแต่ละวัน
- รับประทานยาก่อนอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือรับประทานยาหลังอาหาร 2 ชั่วโมง
- ห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้ และห้ามใช้ยาของผู้อื่น
- หากผู้ป่วยลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ หากใกล้ถึงช่วงเวลาของยารอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยาตามเวลาปกติ โดยห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่าเพื่อทดแทน
- หากรับประทานยาเกินกว่าปริมาณที่กำหนดและมีอาการหมดสติหรือหายใจลำบาก ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
- เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความชื้น ความร้อน และแสงแดด โดยเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง รวมถึงปรึกษาวิธีการเก็บรักษาและการกำจัดยาที่ถูกต้องจากแพทย์และเภสัชกร
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Riluzole
โดยปกติ ยา Riluzole อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป เช่น วิงเวียนศีรษะ บ้านหมุน อ่อนเพลีย ง่วงซึม ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย รู้สึกชาบริเวณปาก เป็นต้น
ส่วนผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังต่อไปนี้
- มีการแพ้ยา เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก และมีอาการบวมบริเวณใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น และคอ เป็นต้น
- มีปัญหาเกี่ยวกับตับ ซึ่งอาจเกิดอาการ เช่น คลื่นไส้ ปวดท้องส่วนบน คัน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีซีด มีภาวะดีซ่าน เป็นต้น
- มีอาการของภาวะเซลล์เม็ดเลือดขาวต่ำ เช่น มีไข้ เจ็บคอ เหงือกบวม รู้สึกเจ็บเวลากลืน และมีอาการไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น
- ไอแบบมีเสมหะ รู้สึกเจ็บเหมือนถูกแทงที่หน้าอก
- เจ็บหน้าอกฉับพลันหรือรู้สึกอึดอัด มีเสียงหวีดขณะหายใจ ไอแห้ง หรือรู้สึกหายใจไม่อิ่ม
นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ เกิดขึ้น แต่หากผู้ป่วยรายใดพบผลข้างเคียงหรือความผิดปกติอื่น ๆ ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบด้วยเช่นกัน