Sulfonamides (กลุ่มยาซัลฟา)
Sulfonamides (ซัลโฟนาไมด์) หรือกลุ่มยาซัลฟา เป็นกลุ่มยาที่ใช้รักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หลอดลมอักเสบ ดวงตาติดเชื้อ เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย เป็นต้น นอกจากนี้ อาจใช้เพื่อรักษาภาวะอื่น ๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น กลุ่มยารักษาเบาหวาน ยาขับปัสสาวะ
ยา Sulfonamides จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในร่างกายและขัดขวางการผลิตกรดไดไฮโดรโฟลิค (Dihydrofolic) โดยเป็นหนึ่งในรูปแบบของกรดโฟลิค ซึ่งเป็นกรดที่ช่วยให้แบคที่เรียและเซลล์ในร่างกายสามารถสร้างโปรตีนได้ โดยตัวอย่างในกลุ่มยาซัลโฟนาไมด์ที่แพทย์ใช้ในการรักษาทั่วไป เช่น ยาซัลฟาเมทอกซาโซล ยาไตรเมโทพริมและซัลฟาเมทอกซาโซล ยาโซนิซาไมด์ ยาซัลฟาไดอะซีน ยาซัลฟาซาลาซีน เป็นต้น
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ถึงผลดี-ผลเสีย และความเสี่ยงต่อทารกก่อนใช้ยานี้ เนื่องจากเป็นกลุ่มยาที่มีอยู่หลายประเภทและรูปแบบของยา ซึ่งบางชนิดอาจเป็นอันตรายต่อทารกและมารดา จึงต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น
คำเตือนในการใช้ยา Sulfonamides
ข้อควรทราบก่อนการใช้ยากลุ่มซัลฟามีดังนี้
- แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากมีอาการแพ้ยาในกลุ่มซัลฟาหรือยาอื่น ๆ ที่มีส่วนผสมของ Sulfonamides และยาชนิดอื่นทั่วไป
- แจ้งให้แพทย์ทราบถึงยา ยาสมุนไพร หรือวิตามินที่กำลังใช้อยู่ เพราะยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยานี้จนก่อให้เกิดผลข้างเคียง หรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลง เช่น ยาโดฟีทิไลด์ (Dofetilide) ยาคีโตโรแลค (Ketorolac) ยาเลโวเมทาดิล (Levomethadyl) ยาเมทีนามีน (Methenamine) ฯลฯ ซึ่งแพทย์จะหลีกเลี่ยงการจ่ายยาในกลุ่มซัลฟาหรือเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่นแทน
- ยาในกลุ่มยา Sulfonamides อาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยที่มีภาวะตับหรือไตทำงานผิดปกติ โรคเลือดโพรพีเรีย (Porphyria) ภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี ภาวะโลหิตจางหรือผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิตอื่น ๆ ผู้ป่วยที่มีภาวะดังกล่าวจึงควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา
- ไม่ควรใช้ยากลุ่มซัลฟาในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 เดือน นอกจากจะได้รับคำสั่งจากแพทย์
- ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีควรระมัดระวังการใช้ยา เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง
- แพทย์จำเป็นต้องสังเกตอาการของผู้ป่วยขณะใช้ยา เนื่องจากการใช้ยาอาจส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนเลือด โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน ดังนั้น ผู้ป่วยควรเข้าพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
- ควรแจ้งให้แพทย์ก่อนใช้ยาทราบหากกำลังวางแผนตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์แล้ว หรือขณะให้นมบุตร หากเกิดการตั้งครรภ์ขณะใช้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
- กรณีใช้ยารูปแบบเหน็บช่องคลอดไม่ควรสวนล้างช่องคลอด เพราะอาจส่งผลให้เกิดการอักเสบหรือการติดเชื้อที่มดลูกได้ รวมทั้งในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ การฉีดล้างอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์
- ผู้ที่กำลังใช้ยาทาช่องคลอดในกลุ่มยาซัลฟาไม่ควรให้นมบุตร เนื่องจากยาอาจส่งผ่านทางน้ำนมไปสู่ทารก ส่งผลให้การทำงานของตับในทารกเกิดความผิดปกติและอาจก่อให้เกิดภาวะโลหิตจางในทารกที่มีภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี
- ผู้ที่รับประทานยาในกลุ่มยาซัลฟาควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดและปกป้องผิวจากแสงแดด อย่างการทาครีมกันแดด สวมแว่นกันแดด และใส่เสื้อผ้าอย่างมิดชิดเป็นประจำ เนื่องจากการใช้ยา Sulfonamide อาจส่งผลให้ผิวไวต่อแสงแดด
- ควรระมัดระวังในการแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟันและไม้จิ้มฟัน รวมทั้งงดการเข้ารับการทำทันตกรรมหรือการทำฟันขณะที่ระดับเลือดยังไม่คงที่
การใช้ยา Sulfonamides
วิธีการใช้ยา Sulfonamides อย่างปลอดภัย มีดังนี้
- อ่านฉลากก่อนใช้และใช้ยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้ยาปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือระยะเวลานานเกินกว่าที่แพทย์กำหนด หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
- ควรใช้ยาในขณะที่ระดับเลือดหรือปัสสาวะมีปริมาณคงที่
- ควรใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ และควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
- ไม่ควรใช้ยาร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละรายมีปริมาณการใช้ยาไม่เท่ากัน
- ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนการใช้ยา
- การรับประทานยาในกลุ่มซัลฟาควรรับประทานพร้อมน้ำ 1 แก้ว หรือประมาณ 250 มิลลิลิตร โดยในระหว่างวันควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากการดื่มน้ำจะช่วยป้องกันผลข้างเคียงจากยา
- หากผู้ป่วยรับประทานยากลุ่มซัลฟาชนิดน้ำ ควรใช้เครื่องมือที่ระบุปริมาณอย่างชัดเจน เช่น ช้อนตวง หรือเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อให้ตวงปริมาณการใช้ยาอย่างแม่นยำ ไม่ควรใช้ช้อนชาทั่วไปในการรับประทานยาชนิดน้ำ เนื่องจากปริมาณอาจคลาดเคลื่อน
- กรณีของผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาหยอดตาหรือยาป้ายตา เมื่อนำยาเข้าสู่ในตาแล้วให้ปิดตาลงอย่างช้า ๆ หลับตาค้างไว้ประมาณ 1-2 นาที ห้ามกระพริบตา หากรู้สึกว่าหยอดยาไม่ตรงกับดวงตา ให้หยอดใหม่อีกครั้ง
- ไม่ควรให้เครื่องมือหยอดตาสัมผัสกับผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณดวงตา
- การใช้ยาบริเวณช่องคลอดมักใช้อุปกรณ์ช่วยในการสอด หากผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการใช้อุปกรณ์
- การใช้ยาทาบริเวณช่องคลอดชนิดที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ ควรอ่านฉลากและวิธีการใช้ยาอย่างละเอียด
- ผู้ป่วยที่ใช้ยาทาบริเวณช่องคลอดควรสวมผ้าอนามัยเพื่อป้องกันการเปื้อน แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอนามัยแบบสอด
- ในกรณีที่ผู้ป่วยลืมใช้ยา ให้ใช้ทันทีที่นึกได้ หากใกล้ช่วงเวลาของการใช้ยาครั้งถัดไป ให้ข้ามไปใช้ยาตามเวลาปกติ แต่ห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
- ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชเกี่ยวกับการใช้ยาร่วมกับการรับประทานอาหาร การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพื่อให้สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
- ควรเก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้องในสถานที่มิดชิด โดยหลีกเลี่ยงความร้อน ความชื้น แสงแดด การกลายเป็นน้ำแข็ง และควรเก็บให้พ้นมือเด็ก
- ห้ามหยุดการใช้ยาเองแม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้ว เพราะการหยุดยาก่อนกำหนดอาจทำให้อาการกลับมาอีกครั้ง
- ทิ้งยาหากหมดอายุหรือไม่จำเป็นต้องใช้อีก
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Sulfonamides
ยาในกลุ่ม Sulfonamides อาจก่อนให้เกิดผลข้างเคียงตั้งแต่ระดับที่ไม่รุนแรงไปจนถึงระดับที่รุนแรงจนเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยอาการข้างเคียงที่มักเกิดขึ้น เช่น ผิวไวต่อแสงแดด การทำงานของระบบทางเดินอาหารผิดปกติ อย่างท้องเสียหรือคลื่นไส้อาเจียน มีอาการวิงเวียนหรือปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อ่อนเพลียผิดปกติ หรือมีภาวะขาดโฟเลต เชื้อราในช่องคลอด เป็นต้น ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีอาการติดต่อกันเป็นเวลานานหรือมีอาการแย่ลง
ผู้ป่วยที่มีอาการดังต่อไปนี้ ควรหยุดใช้ยาและพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาจได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา เช่น
- มีรอยบวม แดง มีรอยฟกช้ำหรือเลือดออกผิดปกติบริเวณผิวหนัง
- อาการแพ้ยา เช่น เกิดผื่นคัน มีอาการของโรคลมพิษ มีอาการบวมบริเวณหน้า ปาก และลิ้น หายใจลำบาก แน่นหน้าอก เป็นต้น
- เกิดภาวะกลุ่มอาการสตีเวน-จอห์นสัน หรือมีอาการผื่นแพ้ยา โดยจะเกิดแผลพุพองบริเวณผิวหนัง ผิวลอกจนเห็นสีแดง และมีของแหลวไหลออกมาจากผิวหนังชั้นนอก จัดเป็นภาวะที่มีความรุนแรงจนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต