Terbinafine (เทอร์บินาฟีน)

Terbinafine (เทอร์บินาฟีน)

Terbinafine (เทอร์บินาฟีน) เป็นยาต้านเชื้อราที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อบริเวณเล็บมือ เล็บเท้า และรูขุมขนบริเวณหนังศีรษะ ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา และอาจนำมาใช้รักษาอาการอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย

1938 Terbinafine rs

เกี่ยวกับยา  Miconazole

กลุ่มยา ยาต้านเชื้อรา
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์ 
สรรพคุณ รักษาการติดเชื้อราที่เล็บมือ เล็บเท้า และหนังศีรษะ
กลุ่มผู้ป่วย ผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยารับประทาน ยาใช้ภายนอก
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ Category B จากการศึกษาในสัตว์ ไม่พบความเสี่ยงในการทำให้เกิด
ความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์
หรืออาจพบผลไม่พึงประสงค์ในสัตว์
แต่ยังไม่พบความเสี่ยงในมนุษย์เมื่อใช้ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์
รวมทั้งไม่มีหลักฐานทางการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า มีความเสี่ยงเมื่อใช้ในช่วงหลังเดือนที่สามเป็นต้นไป

คำเตือนในการใช้ยา Terbinafine

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาหากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ รวมถึงยาและสารอื่น ๆ เพราะยาอาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือเกิดผลข้างเคียงตามมาได้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นโรคไต โรคตับ และโรคเอสแอลอี
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่ เพราะยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยานี้จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลงได้
  • ห้ามเริ่มใช้ยา หยุดใช้ยา หรือเปลี่ยนปริมาณการใช้ยาด้วยตัวเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
  • ผู้ป่วยอาจต้องตรวจเลือดบ่อยครั้งขณะใช้ยานี้ เพื่อตรวจดูการทำงานของตับ
  • หลังจากรักษาด้วยยานี้ ผู้ป่วยอาจใช้เวลาหลายเดือนจนกว่าเล็บมือและเล็บเท้าจะกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง
  • จำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ในขณะที่ใช้ยา เพราะการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยาได้
  • หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ โคล่า เครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนชนิดอื่น ๆ ในขณะที่ใช้ยา
  • หลีกเลี่ยงการออกแดด การใช้เครื่องอบผิวแทน หรือการสัมผัสรังสีอัลตราไวโอเลต เพราะการใช้ยานี้ทำให้ผิวไวต่อแสง รวมทั้งผู้ป่วยควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป และสวมเสื้อผ้าที่ช่วยปกป้องผิวเมื่อต้องออกไปกลางแจ้ง นอกจากนี้ หากเกิดผิวไหม้ แผลพุพอง และรอยแดงที่ผิวหนัง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
  • ไม่ควรใช้ยานี้ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ เพราะยาอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ดังนั้น หากผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์ วางแผนจะตั้งครรภ์ หรือตั้งครรภ์ในระหว่างที่กำลังใช้ยานี้ ควรปรึกษาแพทย์ถึงผลดีผลเสียและความเสี่ยงต่อทารกก่อนใช้ยา  
  • ควรหลีกเลี่ยงการให้นมบุตรขณะใช้ยา เพราะยาอาจซึมผ่านน้ำนมมารดาและเป็นอันตรายต่อทารกได้

ปริมาณการใช้ยา Terbinafine

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้

โรคกลาก

ตัวอย่างการใช้ยารักษาโรคกลาก 

ยารับประทานชนิดเม็ด

ผู้ใหญ่

รับประทานยาปริมาณ 250 มิลลิกรัม/วัน วันละ 1 ครั้ง

การติดเชื้อที่ขาหนีบ ใช้เวลาในการรักษา 2-4 สัปดาห์

การติดเชื้อที่ลำตัว ใช้เวลาในการรักษา 4 สัปดาห์

การติดเชื้อที่เท้า ใช้เวลาในการรักษา 2-6 สัปดาห์

การติดเชื้อที่เล็บมือและเล็บเท้า ใช้เวลาในการรักษา 6-12 สัปดาห์

ยารับประทานชนิดผง

ผู้ใหญ่

รับประทานยาปริมาณ 250 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง สำหรับการติดเชื้อที่หนังศีรษะใช้เวลาในการรักษา 6 สัปดาห์

เด็กอายุ 4 ปีขึ้นไปที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 25 กิโลกรัม

รับประทานยาปริมาณ 125 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง สำหรับการติดเชื้อที่หนังศีรษะใช้เวลาในการรักษา 6 สัปดาห์

เด็กอายุ 4 ปีขึ้นไปที่มีน้ำหนักตัว 25-35 กิโลกรัม

รับประทานยาปริมาณ 187.5 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง สำหรับการติดเชื้อที่หนังศีรษะใช้เวลาในการรักษา 6 สัปดาห์

เด็กอายุ 4 ปีขึ้นไปที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 35 กิโลกรัม

รับประทานยาในปริมาณเท่ากันกับผู้ใหญ่

ยาทา

ผู้ใหญ่

ใช้ยาแบบครีม เจล หรือสเปรย์ที่มีความเข้มข้น 1 เปอร์เซ็นต์ ทาบริเวณที่ติดเชื้อ 1-2 ครั้ง/วัน สำหรับการติดเชื้อที่ขาหนีบและลำตัวใช้เวลาในการรักษา 1-2 สัปดาห์ และสำหรับการติดเชื้อที่เท้าใช้เวลาในการรักษา 1 สัปดาห์

โรคติดเชื้อแคนดิดาและโรคเกลื้อน

ตัวอย่างการใช้ยารักษาโรคเกลื้อน   

ยาทา

ผู้ใหญ่

ใช้ยาแบบครีม เจล หรือสเปรย์ที่มีความเข้มข้น 1 เปอร์เซ็นต์ ทาบริเวณที่ติดเชื้อ 1-2 ครั้ง/วัน ใช้เวลาในการรักษา 2 สัปดาห์

การใช้ยา Terbinafine

  • ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
  • สำหรับยาแบบรับประทาน ให้รับประทานยานี้พร้อมหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้
  • ผู้ป่วยควรใช้ยา Terbinafine ชนิดผงมาผสมในอาหาร เพื่อให้ง่ายต่อการรับประทาน แต่ห้ามผสมยาในเครื่องดื่มที่มีรสหวาน น้ำผลไม้ อาหารที่ทำจากผลไม้ หรืออาหารที่เป็นกรด และควรรับประทานอาหารที่ผสมยาดังกล่าวให้หมดในครั้งเดียว ไม่เก็บไว้รับประทานครั้งหน้า
  • ใช้ยาให้ครบกำหนดตามที่แพทย์สั่งแม้จะอาการจะดีขึ้นแล้ว เพราะหากใช้ยาไม่ครบกำหนดหรือข้ามการใช้ยาไป อาจเสี่ยงเกิดการติดเชื้อได้ใหม่ ซึ่งอาจเป็นเชื้อที่ดื้อต่อยาต้านเชื้อรา
  • ใช้ยาให้ถูกตามจุดประสงค์ของการรักษา โดยยา Terbinafine ไม่สามารถรักษาการติดเชื้อจากไวรัสอย่างไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ได้
  • ห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้ และห้ามใช้ยาของผู้อื่น
  • หากผู้ป่วยลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้ช่วงเวลาของยารอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยาตามเวลาปกติ โดยห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
  • หากใช้ยาเกินปริมาณที่กำหนด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปวดท้อง มีผื่นขึ้น และปัสสาวะมากกว่าปกติได้
  • เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความชื้น ความร้อน และแสงแดด โดยเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง รวมถึงปรึกษาวิธีการเก็บรักษาและการกำจัดยาที่ถูกต้องจากแพทย์และเภสัชกรด้วย

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Terbinafine

โดยทั่วไป ยา Terbinafine อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ มีแก๊สในกระเพาะ ปวดท้อง ไม่สบายท้อง การรับรสอาหารและการดมกลิ่นเปลี่ยนแปลงไปหรือสูญเสียการรับรสและการดมกลิ่น เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันทีหากพบผลข้างเคียงที่รุนแรง ดังต่อไปนี้

  • อาการแพ้ยา แม้พบได้น้อยมากแต่อาจทำให้เกิดอาการรุนแรง เช่น มีผื่น คันและบวม โดยเฉพาะที่ใบหน้า ลิ้น และลำคอ มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองบวม เวียนศีรษะอย่างรุนแรง และหายใจลำบาก เป็นต้น
  • โรคตับ ซึ่งอาจรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ แต่ก็พบได้น้อยมาก โดยอาจทำให้เกิดอาการ เช่น คลื่นไส้อาเจียนไม่หยุด ความอยากอาหารลดลง ปวดท้องรุนแรงจนผิดปกติ ดีซ่าน และปัสสาวะมีสีเข้มมาก เป็นต้น
  • มีสัญญาณปัญหาที่เกี่ยวกับไต อย่างปริมาณปัสสาวะเปลี่ยนแปลงไป
  • เหนื่อยง่ายผิดปกติ
  • การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป
  • มีเลือดออกหรือมีอาการห้อเลือดที่หาสาเหตุไม่ได้
  • มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์หรือจิตใจ อย่างภาวะซึมเศร้า

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางคนอาจไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ เกิดขึ้น แต่หากพบอาการหรือความผิดปกติอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบด้วยเช่นกัน