Acitretin (อาซิเทรติน)
Acitretin (อาซิเทรติน) เป็นยาในกลุ่มเรตินอยด์ ใช้รักษาโรคผิวหนังแดริเออร์ (Darier's Disease) โรคผิวหนังแห้งลอกแต่กำเนิด (Congenital Ichthyosis) โรคไลเคน พลานัส (Lichen Planus) ชนิดรุนแรง โรคสะเก็ดเงินชนิดรุนแรง หรือโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์
ยา Acitretin มีข้อห้ามใช้และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเสมอ
เกี่ยวกับยา Acitretin
กลุ่มยา | ยาเรตินอยด์ |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาโรคผิวหนัง |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
คำเตือนในการใช้ยา Acitretin
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาหากมีประวัติแพ้ยาหรือแพ้ส่วนประกอบของยาชนิดนี้ แพ้ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ ทั้งยาที่แพทย์สั่ง ยาที่ซื้อใช้ด้วยตนเอง วิตามิน และสมุนไพร เพราะมียาหลายชนิดที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้ เช่น ยาด็อกซีไซคลิน ยาเตตราไซคลิน ยาเมโธเทรกเซท ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติคล้ายวิตามินเอ หรือสมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ต (St. John's Wort) เป็นต้น
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีคอเลสเตอรอลสูง เป็นโรคไต และโรคตับ
- แจ้งให้แพทย์ พยาบาล เภสัชกร และทันตแพทย์ทราบว่ากำลังใช้ยานี้ก่อนเข้ารับการรักษาใด ๆ
- หลีกเลี่ยงการขับรถหรือการทำกิจกรรมที่ต้องอาศัยความตื่นตัวในระหว่างที่ใช้ยานี้ จนกว่าจะแน่ใจว่ายาไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
- หากต้องการดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างที่ใช้ยา ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
- ยา Acitretin อาจเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ยานี้ต้องปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเสมอ
- ระหว่างที่ใช้ยา สภาพผิวหนังของผู้ป่วยอาจแย่ลง แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาการจะดีขึ้นตามลำดับ
- หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดหรือแสงจากหลอดไฟ ปกป้องผิวโดยใช้ครีมกันแดด สวมใส่เสื้อผ้ามิดชิด และสวมแว่นกันแดด เพราะผิวหนังของผู้ป่วยจะไวต่อแสงมากกว่าปกติ
- ยานี้อาจมีผลต่อการมองเห็นในเวลากลางคืนหรือในที่มืด ดังนั้น ต้องระมัดระวังในการขับรถหรือการทำกิจกรรมที่ต้องใช้การมองเห็นอย่างชัดเจน
- ยานี้อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการรั่วของหลอดเลือดฝอย (Capillary Leak Syndrome) ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะความดันต่ำและเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ จึงควรไปพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการ เช่น หัวใจเต้นผิดปกติ แน่นหรือเจ็บหน้าอก หัวใจขาดเลือด ปอดทำงานผิดปกติหรือการหายใจผิดปกติ มีเลือดออก การไหลเวียนเลือดในกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง ไตผิดปกติ อาการบวม และสับสน เป็นต้น
- ยา Acitretin อาจทำให้ความดันในสมองเพิ่มขึ้น และส่งผลต่อการมองเห็นในระยาวหรืออาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โดยอาจทำให้มีอาการ เช่น ปวดศีรษะรุนแรง เวียนศีรษะ อาเจียน ปวดท้อง และชัก เป็นต้น ทั้งนี้ หากพบอาการ เช่น ร่างกายไม่มีแรงครึ่งซีก มีปัญหาในการพูดและการคิด การทรงตัวผิดปกติ และการมองเห็นเปลี่ยนแปลง เป็นต้น ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
- ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ควรใช้ยาด้วยความระมัดระวัง เพราะเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้สูง
- ผู้ที่ต้องให้นมบุตร ห้ามให้นมบุตรระหว่างที่ใช้ยานี้และหลังจากหยุดใช้ยาในช่วงแรก โดยให้ปรึกษาแพทย์ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะสามารถให้นมบุตรได้
- ระหว่างที่ใช้ยานี้ ห้ามใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดประเภทที่มีฮอร์โมนโปรเจสติน เพราะอาจทำให้ยาคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพลดลง โดยให้ใช้ยาคุมก่อนใช้ยา Acitretin 1 เดือน จากนั้นให้ใช้ยาคุมในระหว่างที่ใช้ยานี้และใช้ยาคุมอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปีจนหยุดรับยา หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้คุมกำเนิด ประจำเดือนขาด หรือสงสัยว่าตนตั้งครรภ์ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
ปริมาณการใช้ยา Acitretin
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้
โรคแดริเออร์
ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 10 มิลลิกรัม/วัน เป็นระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ และหลังจากนั้นอาจปรับปริมาณยาจนถึง 25-50 มิลลิกรัม/วัน โดยขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อยา
โรคผิวหนังแห้งลอกแต่กำเนิด โรคไลเคน พลานัส และโรคสะเก็ดเงินชนิดรุนแรง
ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 25 หรือ 30 มิลลิกรัม/วัน เป็นระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ และหลังจากนั้นอาจปรับปริมาณยาตามการตอบสนองต่อยา ซึ่งปริมาณยาปกติอยู่ในช่วง 25-50 มิลลิกรัม/วัน โดยใช้ยาเป็นระยะเวลา 6-8 สัปดาห์ และปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 75 มิลลิกรัม/วัน
การใช้ยา Acitretin
- ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
- ใช้ยา Acitretin พร้อมอาหาร และใช้ยาในเวลาเดิมทุกวัน
- อาจต้องใช้เวลา 2-3 เดือนหลังใช้ยาจึงจะเห็นผลการรักษา
- ระหว่างที่ใช้ยา Acitretin ผู้ป่วยอาจได้รับการตรวจเลือดและตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูกตามที่แพทย์สั่ง
- หลีกเลี่ยงการรับวิตามินเอเกินกว่าปริมาณที่กำหนดในแต่ละวัน เพราะยานี้อาจทำให้ได้รับวิตามินเอมากเกินไป
- หากลืมใช้ยาตามเวลาที่กำหนด ให้ใช้ยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้ถึงเวลาใช้ยาในรอบถัดไป ให้ข้ามไปใช้ยารอบต่อไป ห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
- หากสงสัยว่าตนใช้ยาเกินปริมาณที่กำหนด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
- ไม่ลืมกินยา เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา
- ห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้ และห้ามใช้ยาของผู้อื่น
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
- เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความร้อน แสงแดด และความชื้น โดยเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Acitretin
การใช้ยา Acitretin อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เช่น เล็บเปลี่ยนแปลงไป น้ำมูกไหล คัน ระคายเคืองตา ปากแห้ง ริมฝีปากแห้ง ตาแห้ง และผมร่วง เป็นต้น แต่หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงหรือมีอาการแพ้ยา ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เช่น
- อาการแพ้ยา เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม คอบวม มีผื่นคัน ผิวหนังบวมแดง มีตุ่มน้ำพุพอง ผิวลอกพร้อมกับมีไข้หรือไม่มีไข้ แน่นหน้าอกหรือลำคอ หายใจเสียงดัง มีปัญหาในการหายใจหรือการพูด เสียงแหบ เป็นต้น
- ภาวะซึมเศร้า อาจมีอาการบางอย่าง เช่น มีความคิดฆ่าตัวตาย ความคิดผิดปกติ ประหม่า กังวล อารมณ์แปรปรวน และขาดความสนใจในการใช้ชีวิต เป็นต้น
- ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งอาจมีอาการบางอย่าง เช่น ง่วง สับสน กระหายน้ำ หิว ปัสสาวะบ่อย ผิวหนังแดง หายใจเร็ว และหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้ เป็นต้น
- ตับอ่อนอักเสบ อาจทำให้มีอาการบางอย่าง เช่น ปวดท้องรุนแรง ปวดหลังรุนแรง ท้องไส้ปั่นป่วนรุนแรง และอาเจียน เป็นต้น
- มีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือคิดถึงการต่อสู้
- เจ็บหรือแน่นหน้าอก
- เวียนศีรษะรุนแรง หรือหมดสติ
- แสบ ชา หรือรู้สึกเหน็บชาผิดปกติ
- มีอาการบวม ชา เจ็บ หรือมีการเปลี่ยนสีที่ขาและแขน
- เจ็บกล้ามเนื้อรุนแรง หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ปวดข้อหรือปวดกระดูก
- การได้ยินเปลี่ยนแปลงไป มีเสียงหวี่ดังในหู
- การมองเห็นเปลี่ยนแปลง เจ็บตา ระคายเคืองตารุนแรง การมองเห็นในเวลากลางคืนแย่ลง รู้สึกผิดปกติเมื่อใส่คอนแทคเลนส์
- บวม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- มีไข้ ปวดท้อง ท้องเสีย
- เลือดออกทางทวารหนัก หรือเจ็บทวารหนัก
- กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens-Johnson Syndrome) ซึ่งอาจทำให้มีอาการบางอย่าง เช่น ผิวซีด แดง บวม พุพอง ตาแดงหรือระคายเคือง เป็นแผลในปาก คอ จมูก และตา เป็นต้น
นอกจากนี้ หากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติใด ๆ เพิ่มเติม ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยเช่นกัน