Acyclovir (อะไซโคลเวียร์)
Acyclovir (อะไซโคลเวียร์) เป็นยาในกลุ่มต้านเชื้อไวรัสที่ใช้รักษาโรคอีสุกอีใส งูสวัด และโรคติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ (Herpes Virus) หรือโรคเริม โดยทำให้ตุ่มใสจากโรคเกิดน้อยลงและหายเร็วขึ้น รวมถึงยังลดอาการเจ็บปวดบริเวณตุ่มใส ลดความเสี่ยงที่ไวรัสจะแพร่ไปยังส่วนอื่นในร่างกาย และป้องกันไม่ให้อาการของเริมกำเริบอีก
Acyclovir เป็นยาที่ออกฤทธิ์ในการชะลอการเติบโตและแพร่กระจายของเชื้อไวรัสจากโรคอีสุกอีใส งูสวัด และโรคเริมที่ปาก หรือเริมที่อวัยวะเพศ โดยเป็นยาที่ต้องใช้ภายในการควบคุมของแพทย์ และใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เนื่องจากเป็นยาที่มีผลข้างเคียง
เกี่ยวกับยา
กลุ่มยา | ยาต้านไวรัส |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | ชะลอการเติบโตและการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส โรคงูสวัด และโรคเริม |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็กและผู้ใหญ่ |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ | Category B จากการศึกษาในสัตว์ ไม่พบความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์หรืออาจพบผลไม่พึงประสงค์ในสัตว์ และยังไม่พบความเสี่ยงในมนุษย์เมื่อใช้ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ รวมทั้งไม่มีหลักฐานทางการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า มีความเสี่ยงเมื่อใช้ในช่วงหลังเดือนที่สามเป็นต้นไป |
การใช้ยาในผู้ให้นมบุตร | ยานี้สามารถขับออกผ่านทางนมแม่สู่ทารกได้ แต่จากการศึกษายังไม่มีรายงานที่ระบุถึงผลข้างเคียงต่อทารก |
รูปแบบของยา | ยารับประทานชนิดเม็ด แคปซูล ยาน้ำ ยาทา ยาหยอดตา และยาให้ทางหลอดเลือดดำ |
คำเตือนในการใช้ยา Acyclovir
ข้อควรระวังที่ผู้ป่วยควรทราบก่อนใช้ยา Acyclovir มีดังนี้
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา Acyclovir หรือยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) ไม่ควรใช้ยานี้
- ผู้ป่วยโรคไต หรือมีปัญหาเกี่ยวกับไต ควรแจ้งแพทย์ก่อนใช้ยาตัวนี้
- ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นผลจากโรค หรือการใช้ยาอื่น ๆ ควรแจ้งแพทย์ก่อนใช้ยานี้
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้งหากกำลังใช้ยา อาหารเสริม และสมุนไพรอื่น ๆ หรือวางแผนจะใช้ เพราะยาอาจทำปฏิกริยากันและก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
- ผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดควรแจ้งแพทย์หรือทันตแพทย์ก่อนทุกครั้ง
- หากเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส หรือวัคซีนป้องกันไวรัสอื่น ๆ ควรแจ้งบุคลากรทางการแพทย์ว่ากำลังใช้ Acyclovir ก่อนทุกครั้ง
- ยานี้สามารถใช้ได้ในสตรีมีครรภ์และผู้ให้นมบุตร แต่ควรแจ้งแพทย์ก่อนใช้ยาทุกครั้ง เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงบางอย่างได้ รวมถึงควรแจ้งแพทย์หากวางแผนจะตั้งครรภ์ในระหว่างการใช้ยาด้วยเช่นกัน
- ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติที่ระบบประสาท มีภาวะขาดออกซิเจน มีความผิดปกติของตับ หรือระดับเกลือแร่ในร่างกาย ควรระมัดระวังในการใช้ยานี้
ปริมาณการใช้ยา Acyclovir
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยา Acyclovir นั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยตัวอย่างปริมาณการใช้ยาจะแบ่งออกเป็นยารับประทานและยาฉีด เช่น
ยารับประทาน
ตัวอย่างการใช้ยารับประทาน Acyclovir เพื่อรักษา เช่น
รักษาโรคเริมที่เป็นครั้งแรก
ผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 12 ปี รับประทาน 200 มิลลิกรัม 2–5 ครั้งต่อวัน หากกิน 5 ครั้งต่อวันให้เว้นระยะห่างทุก 4 ชั่วโมง โดยรับประทานติดต่อกัน 5–10 วัน สำหรับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง รับประทานวันละ 400 มิลลิกรัม 5 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 7 วัน
รักษางูสวัด
ผู้ใหญ่ 800 มิลลิกรัม 5 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 7–10 วัน
รักษาโรคอีสุกอีใส
ผู้ใหญ่ 800 มิลลิกรัม 4-5 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 5-7 วัน
เด็ก อายุ 2 ปีขึ้นไป รับประทานครั้งละ 20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว สุดที่ 800 มิลลิกรัมต่อครั้ง รับประทาน 4 ครั้ง ติดต่อกัน 5 วัน อย่างไรก็ตาม ควรให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาปริมาณการใช้ยาในเด็ก
ยาฉีด
ตัวอย่างการใช่ Acyclovir ในรูปแบบยาฉีด เช่น
รักษาโรคงูสวัด โรคเริมในสมอง เริมที่อวัยวะเพศและเนื้อเยื่อ
ผู้ใหญ่และเด็กที่อายุมากกว่า 12 ปี ใช้ปริมาณ 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว ทุก ๆ 8 ชั่วโมง ติดต่อกัน 5–7 วัน โดยให้ทางหลอดเลือดดำติดต่อกันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
เด็ก อายุน้อยกว่า 12 ปี ให้ครั้งละ 10–20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว ทุก ๆ 8 ชั่วโมง ติดต่อกัน 5–7 วัน โดยให้ทางหลอดเลือดดำติดต่อกันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 3 เดือน ให้ครั้งละ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว ทุก ๆ 8 ชั่วโมง ติดต่อกัน 10 วัน โดยให้ทางหลอดเลือดดำติดต่อกันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
การใช้ยา Acyclovir
ยา Acyclovir เป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำและใบสั่งแพทย์เท่านั้น โดยไม่ควรใช้ยามากกว่า หรือน้อยกว่าปริมาณที่แพทย์สั่ง ซึ่งยานี้สามารถเริ่มใช้ได้ทันทีที่มีอาการของไวรัสเฮอร์พีส์ (Herpes) เกิดขึ้น เช่น ตุ่มน้ำ อาการแสบร้อน หรือรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ เหมือนเข็มตำที่บริเวณผิวหนัง
ทั้งนี้ปริมาณการใช้ยาในแต่ละครั้ง อาจขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้ป่วย หากผู้ป่วยมีน้ำหนักที่เปลี่ยนแปลงควรรีบแจ้งแพทย์ เพื่อให้ปริมาณยาที่ใช้เหมาะสมกับผู้ป่วยมากที่สุด และในระหว่างการใช้ยา ผู้ป่วยควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ไตยังสามารถทำงานได้เป็นปกติ
ควรใช้ยาที่แพทย์สั่งให้ครบตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ เพื่อให้อาการของโรคนั้นดีขึ้นและหายเป็นปกติ และไม่ควรใช้ยาในการรักษาการติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัด เป็นต้น
Acyclovir เป็นยาที่สามารถใช้ได้ในสตรีมีครรภ์และผู้ให้นมบุตร แต่ก่อนการใช้ยาผู้ป่วยจำเป็นจะต้องรับทราบถึงประโยชน์รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาที่อาจส่งผลถึงบุตรได้ เพื่อให้ผู้ป่วยเปรียบเทียบและตัดสินใจ
ในกรณีที่ลืมรับประทานยา ให้รีบรับประทานในทันทีที่นึกได้ แต่หากเลยเวลามานานและใกล้เวลารับประทานยารอบถัดไป ให้รับประทานยาในรอบนั้นแทน โดยไม่ควรรับประทานพร้อมกันสองครั้งเพื่อทดแทนรอบที่ข้ามไป
การเก็บรักษายาควรเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง ห่างไกลจากความชื้น ความร้อน และแสงแดด รวมถึงไม่ควรนำไปแช่เย็น หากยามีลักษณะเปลี่ยนไปควรหยุดใช้และไปพบแพทย์ในทันที
ปฏิกิริยาระหว่างยา Acyclovir กับยาอื่น
ยา Acyclovir เป็นยาที่ส่งผลต่อการทำงานของไต การใช้ยานี้ร่วมกับยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มเอ็นเสด (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs: NSAIDs) ยารักษาโรคมะเร็ง ยารักษาการติดเชื้อ ยาควบคุมความดันเลือด ยากดภูมิคุ้มกัน ยารักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้ ยารักษาข้ออักเสบ และยารักษาโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นยาที่ส่งผลต่อการทำงานของไตเหมือนกันจึงอาจทำให้ไตมีปัญหามากขึ้นได้
นอกจากนี้ วิตามินอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์สมุนไพรก็อาจทำปฏิกริยากับ Acyclovir ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง หากกำลังใช้ยารักษา หรือรับประทานอาหารเสริมตัวใดอยู่ เพื่อป้องกันปฏิกริยาระหว่างยาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Acyclovir
โดยส่วนใหญ่แล้วผลข้างเคียงของยา Acyclovir ที่สามารถพบได้ คือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ผื่นคัน และหากเป็นยาชนิดฉีดก็อาจมีอาการบวมแดง และอักเสบบริเวณที่ฉีดยาได้ โดยหากอาการแย่ลงควรบอกแพทย์หรือเภสัชกร
แต่หากมีผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ผิวช้ำง่าย เกิดจุดเลือดสีแดงหรือสีม่วงใต้ผิวหนัง ปวดท้องรุนแรง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับไต เช่น ปัสสาวะไม่ออก รู้สึกเจ็บเวลาปัสสาวะ หรือปัสสาวะขัด รู้สึกเหนื่อยง่าย หายใจถี่ มึนงง สับสน เห็นภาพหลอน ผิวเหลือง ควรรีบแจ้งแพทย์ในทันที
ทั้งนี้ ควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดหากมีอาการ เช่น มีปัญหารในการพูด มีความผิดปกติในการมองเห็นเฉียบพลัน ชัก หรือหมดสติ